ทรัมป์มาเอเชียในฐานะ มิตรหรือนักเลงโต?

ทรัมป์มาเอเชียในฐานะ มิตรหรือนักเลงโต?

โดนัลด์ ทรัมป์มาเยือนเอเชีย เป็นครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดี เป็นข่าวใหญ่เพราะยาวนานถึง 12 วัน 5 ประเทศและจะพบกับผู้นำคนสำคัญของภูมิภาคนี้

ที่ล้วนไม่แน่ใจว่าผู้มาเยือนจากทำเนียบขาวมีนโยบายต่อภูมิภาคนี้อย่างไรกันแน่

ภาษานักข่าวที่วอชิงตันบอกว่านี่เป็นการเยือนต่างประเทศแบบ “มาราธอน” ที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐน้อยคนจะออกนอกประเทศยาวนานขนาดนี้

ทรัมป์มาเอเชียในฐานะ มิตรหรือนักเลงโต?

ทรัมป์คงอ้างได้ว่าเพราะเห็นความสำคัญต่อเอเชีย ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าทรัมป์ตั้งใจจะ ไม่อยู่บ้านยาวนานขนาดนี้เพื่อหนีเรื่องอื้อฉาวมากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนว่าด้วยความโยงใยของคนรอบข้างกับรัสเซียที่กำลังทำท่าว่าจะขยับมาใกล้ตัวเองทุกที

แน่นอนว่าการมาเยือนเอเชียของทรัมป์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหัวข้อใหญ่คงหนีไม่พ้นเรื่องเกาหลีเหนือซึ่งได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของประเด็นนโยบายต่างประเทศของทรัมป์

อีกเรื่องหนึ่งคงจะต้องเป็นการค้าการขายที่ทรัมป์ต้องการจะสร้างผลงานด้วยการกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ในแถบนี้ซื้อของอเมริกันมากขึ้นเพื่อให้ดุลการค้าเอียงไปทางสหรัฐมากกว่าที่ผ่านมา

หัวข้อสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการที่ทรัมป์จะยืนยันว่าสหรัฐยังเป็นมหาอำนาจทางทหาร และยังจะดำรงไว้ซึ่งกองกำลังทางทะเลในภูมิภาคนี้

พูดง่าย ๆ คือขณะที่ทรัมป์มาจับไม้จับมือกับผู้นำจีนสี จิ้นผิง ก็จะส่งสัญญาณให้ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียได้รับรู้ว่าอเมริกาจะไม่ยอมให้จีนมีอิทธิพลมากกว่าสหรัฐในเอเชียอย่างแน่นอน

ส่วนจะทำอย่างไรเพื่อรักษาความเป็นพี่เบิ้มของสหรัฐในเอเชีย และจะต่างไปจาก“Pivot to Asia” (ปักหมุดเอเชีย) ของบารัค โอบามาเป็นรายละเอียดที่ยังไม่มีใครในรัฐบาลของทรัมป์สามารถชี้แจงได้

แม้รัฐมนตรีต่างประเทศเร็กซ์ ทิลเลอร์สันเองก็ไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนในเรื่องนี้ สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้กับทรัมป์ไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกันแต่อย่างไร

ยิ่งล่าสุดทรัมป์ตอบคำถามในรายการสัมภาษณ์ฟอกซ์นิวส์ว่า “ไม่แน่ใจ” ว่าทิลเลอร์สันจะอยู่ในตำแหน่งนี้ครบเทอมหรือไม่ ก็ยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนในนโยบายสหรัฐต่อเอเชียเพิ่มขึ้น

ที่ค่อนข้างจะแน่นอนก็คือทรัมป์จะไม่เน้นเรื่องประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ ที่ไปเยือน ไม่เหมือนโอบามาที่ให้ความสำคัญกับสองเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าการสร้างไมตรีในเรื่องการค้าและการลงทุน

ทรัมป์แวะญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีนก่อนที่จะร่วมประชุมสุดยอดเอเปคที่เวียดนาม ตามมาด้วยการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (รวมถึงอาเซียน) ที่ฟิลิปปินส์

การพบกับสีจิ้นผิงที่ปักกิ่งเป็นจังหวะสำคัญเพราะผู้นำจีนคนนี้เพิ่งได้รับการเลือกให้อยู่ในตำแหน่งอีก 5 ปีพร้อมกับอำนาจบารมีที่กระชับแน่นขึ้นกว่าเก่า

ทรัมป์กับสีจะประกาศเรื่องกดดันเกาหลีเหนือเพิ่มขึ้น หรือจะเสนอแนวทางการแก้วิกฤติเกาหลีเหนืออย่างไรเป็นประเด็นสำคัญที่จะตัดสินว่าการมาเยือนเอเชียของทรัมป์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว

การประชุมสุดยอดเอเปคที่เวียดนามคงเป็นเพียงพิธีกรรมมากกว่าจะแสวงหาเนื้อหาสาระ เพราะทรัมป์ประกาศไม่เอา TPP ที่โอบามาผลักดันมาก่อนแล้ว จึงเป็นเรื่องที่ทรัมป์จะพูดจาเรื่องค้าขายและลงทุนบนพื้นฐานของทวิภาคีมากกว่าพหุภาคี

เท่ากับเป็นการเปิดทางให้จีนเป็นพระเอกในการดันให้ RCEP อันเป็นเครือข่ายประเทศอาเซียนบวกชาติต่าง ๆ ในย่านนี้ให้ลดอุปสรรคในการค้า ส่งเสริมการค้าเสรีอย่างเปิดกว้าง

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก (ซึ่งรวมถึงผู้นำอาเซียนด้วย) ที่มะนิลา

ทรัมป์กับเจ้าภาพผู้นำฟิลิปปินส์ดูเตอร์เต้จะแสดงท่าทีต่อกันอย่างไรเป็นเรื่องที่ผู้สังเกตการณ์ทั้งโลกเฝ้ามอง เพราะดูเตอร์เต้เคยประกาศไม่เอาสหรัฐมาแล้วหลายรอบ แม้จะได้รับเชิญจากทรัมป์ให้ไปเยือนทำเนียบขาวก็ยังบอกปัดหน้าตาเฉย

พรุ่งนี้วิเคราะห์ต่อเพราะมีรายละเอียดสำคัญที่ต้องมองให้รอบด้านเพื่อประเมินว่าทรัมป์จะเอาอย่างไรกับเอเชียกันแน่!