แค่ปรับครม. จะพอหรือ?

แค่ปรับครม. จะพอหรือ?

การลาออกจากตำแหน่ง รมว.แรงงาน ของ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลี่ยงไม่พ้นที่ต้องปรับ ครม.

แน่นอนว่าตัวนายกฯคงต้องการ ปรับเล็ก เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อม เพราะการปรับใหญ่ย่อมหมายถึงการยอมรับว่าการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา สอบตก

แต่จริงๆ การปรับ ครม.ก็อาจไม่ช่วยอะไรมากนัก หากรัฐบาลยังทำงานด้วยรูปแบบเดิมๆ ซึ่งก็เป็นรูปแบบที่นายกฯเองชอบพูดอยู่บ่อยๆ นั่นก็คือ ผมสั่งคนเดียวอยู่แล้ว หรือ ผมรับผิดชอบทั้งหมดอยู่แล้ว

เพราะนัยของประโยคแบบนี้ หมายถึงการมองรัฐมนตรีคนอื่นเสมอเพียง ผูู้ปฏิบัติ หรือ ไพร่พล หาใช่แม่ทัพร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

ฉะนั้นที่ผ่านมาจึงแทบไม่มีรัฐมนตรีคนไหนในรัฐบาลชุดนี้ที่กล้าให้สัมภาษณ์แบบยาวๆ เลย (ยกเว้นรุ่นพี่ที่นายกฯเกรงใจ และเพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทๆ บางคน)

เมื่อให้สัมภาษณ์ยังไม่กล้า จึงมิพักต้องพูดถึงการคิดทำอะไรใหม่ๆ หรือแสดงบทบาทโดดเด่นล้ำหน้านายกฯ เพราะนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงจึงมีสถานะไม่ต่างอะไรกับ หัวหน้าปลัดกระทรวงเท่านั้นเอง

จะว่าไป หากมองตามความเป็นจริง การจะให้รัฐบาล (โดยเฉพาะนายกฯ) มาปรับการทำงานในปีสุดท้ายย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผ่านมาการรับมือกับปัญหาต่างๆ ก็อยู่ในระดับพอยอมรับได้ แรงกดดันสำคัญที่น่าจะรุมเร้ารัฐบาลนับจากนี้จนถึงวันเลือกตั้ง น่าจะเป็นโครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ใช้งบประมาณสูงๆ มากกว่า เพราะโครงการใหญ่ๆ ที่ผ่านๆ มาล้วนถูกตั้งคำถาม และกลายเป็นประเด็นดิสเครดิตรัฐบาลอย่างรุนแรง

ที่หนักก็คือโดนผสมโรงทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรือเหาะ เรือดำน้ำ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมถึงล่าสุดคือ เครื่องตรวจจับความเร็ว และ เครื่องสแกนม่านตา

ปีสุดท้ายของโรดแมพ คสช. ถ้ารัฐบาลกล้าทำ สัญญาประชาคม ว่าจะไม่จัดซื้ออะไรนอกเหนือจากแผนงานที่วางไว้เดิมอีกแล้ว และงดโครงการที่ใช้งบประมาณมหาศาลเอาไว้ทั้งหมด เพื่อรอรัฐบาลเลือกตั้งเข้ามาบริหารจัดการ เผลอๆ คสช.อาจเรียกศรัทธากลับคืนมาได้มากกว่าปรับ ครม.เสียอีก