ของจริง
บรรยากาศการเมืองตั้งแต่เดือน พ.ย.60 เป็นต้นไป ต้องบอกว่ารัฐบาล คสช.กำลังจะเจอกับ “ของจริง”
ผ่านมา 3 ปี 5 เดือน คำพูด คำหาเสียง รวมทั้งคำสัญญาที่เคยให้ไว้ ได้คลายมนต์ขลังไปหมดแล้ว โดยเฉพาะยี่ห้อ “คืนความสุข” เพราะสภาพบ้านเมืองแม้จะดูเรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วเป็นความสงบราบคาบที่เกิดจากการใช้ “อำนาจพิเศษ” กดทับเอาไว้
แต่วันนี้ “อำนาจพิเศษ” ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าแก้ปัญหาไม่ได้จริง ทำได้แค่ซื้อเวลา บางเรื่องสร้างปัญหาให้บานปลายกว่าเก่า
ทันทีที่ คสช.ปลดล็อคให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหว รัฐบาลจะต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์แบบตรงไปตรงมา และตรงใจชาวบ้าน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ คำถามเรื่องความเหมาะสมในโครงการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น ยุทโธปกรณ์ราคาสูงลิ่วซึ่งเรียงคิวซื้อกันโครงการแล้วโครงการเล่า หรือเครื่องตรวจจับความเร็วราคาเครื่องละเหยียบล้าน ฯลฯ ท่ามกลางสภาพการณ์ข้าวยากหมากแพง
ปัญหาการทุจริต ไม่โปร่งใสที่ปรากฏในหลายส่วนงาน กำลังทยอยรอการเปิดโปง และพิสูจน์ความจริงใจของ คสช.ว่าจะกล้าฟันให้ดูสักเรื่องไหม หรือจะแค่ลูบหน้าปะจมูกเหมือนที่ผ่านๆ มา เพราะเส้นสายโยงใยล้วนต่อถึงคนใกล้ตัวผู้มีอำนาจ ไม่เว้นแม้แต่ “หลังบ้าน”
ความขัดแย้งจากการยกร่างกฎหมายลูก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งกำลังกลายเป็นอีกหนึ่ง “เกมอำนาจ” และ “เกมพวกพ้อง” จะทำให้ประชาชนยิ่งเสื่อมศรัทธาบรรดาองค์กรเหล่านี้มากขึ้นไปอีก และจะยิ่งถูกมองว่าเป็นได้แค่ “เครื่องมือทางการเมือง”
การปฏิรูปก็ทำท่าว่าจะล้มเหลวและไม่มีอะไรใหม่ ไม่เว้นแม้ “ปฏิรูปตำรวจ” ที่หลายคนแอบหวัง แต่ไปๆ มาๆ ก็ล้วนหยิบของเก่ามาปัดฝุ่นใช้ ซึ่งหลายๆ เรื่องเป็นของเก่าที่เขาทำไว้ดีแล้ว แต่มาถูกปรับเปลี่ยนในยุค คสช.โดยคำสั่งตามอำนาจพิเศษ ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่ควรทำก็ไม่ทำ เลยไม่รู้ว่าเป็นการ “เดินหน้า” หรือ “ถอยหลัง” กันแน่
นี่ถ้าต้องรอ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” เหมือนแคมเปญของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม คงต้องรอถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ
งานปฏิรูปและการแก้ปัญหายากๆ ของบ้านเมือง ต้องขับเคลื่อนโดยอาศัยพลังการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ มีวิสัยทัศน์ และมีธรรมาภิบาล ถึงวันนี้คงพิสูจน์แล้วว่าไม่มีทางลัดทางอื่น!