พระอัจฉริยภาพ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”

พระอัจฉริยภาพ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”

เดือนตุลาคม พ.ศ. 2453เมื่อ 107 ปีก่อนกับเดือนตุลาคม 2559 จะอยู่ในความทรงใจของคนไทยไปตราบนานเท่านาน การสวรรคตของ

สมเด็จพระปิยะมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นสองเหตุการณ์ของ 4-5 ชั่วคนที่นำความโศกเศร้าอย่างยิ่งมาสู่ปวงชนชาวไทยทั้งสองพระองค์ทรงครองราชย์รวมกัน 112 ปีในช่วงเวลา 235 ปีของราชวงศ์จักรี อย่างไรก็ดีในการสูญเสียที่เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ละคนสูญหายไปด้วยนี้มีสิ่งชวนให้ใคร่ครวญอยู่

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม คือพระปฐมบรมราชโองการเนื่องในพระราชพิธีบรมราชภิเษก กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงทำตามที่ทรงสัญญาไว้ ทุกประการตลอดเวลา 70 ปี ของการครองราชย์ของพระองค์

คนไทยร้องไห้เสียใจ รู้สึกใจหาย และอ้างว้าง คำถามที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อเราตั้งสติได้แล้ว เราจะช่วยทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนและทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั้นมีคนนำไปคิดและปฎิบัติตามจนเกิดเป็นมรรคผลขึ้นสืบต่อไปในอนาคตได้อย่างไร อย่าลืมว่าไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นได้นอกจากพวกเราคนไทยด้วยกันเอง

ผู้เขียนขอเสนอเรื่องหนึ่งที่ทุกคนไม่ว่าจะสูงวัยหรืออยู่ในลักษณะใดก็ตาม สามารถร่วมกันสร้างสรรค์สังคมของเราได้ตามแนวพระราชดำริ “เข้าใจเข้าถึง พัฒนา” ซึ่งสะท้อนถึง พระอัจฉริยภาพ พระวิริยะอุตสาหะและพระราชปณิธานที่จะขจัดปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทย

ถึงแม้แนวคิดนี้จะเกี่ยวพันกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาพื้นที่ในชนบทเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับความเข้าใจผิดของเยาวชนเราในปัจจุบัน ผู้เขียนขออนุญาตยกมาสัก 3 เรื่อง ดังต่อไปนี้

เรื่องแรก “ผม (หนู)ก็เป็นคนดีในบางเรื่องและเลวในบางเรื่องเหมือนคนทั่วไป” ความเข้าใจนี้มีอยู่ดาษดื่นในหมู่เยาวชนไทยจนมีการทำความผิดร้ายแรงต่อสังคมแต่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเรื่องดีอื่น ๆ เขาก็ทำอยู่ด้วย มันก็หักกลบลบกันไปเป็นเรื่องปกติ

การตีความว่าอะไรดีอะไรเลวมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องน่ากลัวเพราะมันอยู่ที่คนตีความและยิ่งเชื่อว่าดีกับเลวสามารถหักลบกันได้แล้ว ชีวิตจะยุ่งอย่างแน่นอน ความจริงของชีวิตก็คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์และอยากอยู่อย่างไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใครและตนเองก็ไม่เดือดร้อนอีกทั้งมีความเจริญด้วยแล้วต้องเป็นคนดีอย่างเดียวมีธรรมะประจำใจโดยดีกับเลวนั้นเหมือนบุญกับบาปคือหักลบกันไม่ได้

การที่บอกว่าดีบ้างเลวบ้างนั้น ผู้ใหญ่หมายความว่าเลวในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคุณธรรมเช่น ขี้รำคาญ ขี้อิจฉา ขับรถขาดมารยาทชอบขัดคอคน ขัดใจพ่อแม่ฯลฯ แต่เป็นคนดีโดยพื้นฐาน มิได้หมายความว่าเมื่อทำบุญแล้วก็คดโกงเอาเปรียบคนอื่นได้ หรือรับใช้ชาติและปล้นชาติในเวลาเดียวกันได้

การจะเข้าใจเรื่องนี้ได้นั้น เยาวชนต้อง เข้าใจ” ความหมายของประโยคข้างต้นเข้าถึงความจริงของชีวิต รู้ว่าการทำความดีนั้นเป็นเกราะกำบังตนเองจากสารพัดกระสุนและความเจ็บปวดกังวลใจ จากนั้นก็รู้การพัฒนา” คือพัฒนาตนเองแก้ไขความเข้าใจประโยคดังกล่าวอย่างผิด ๆ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเสีย

พวกเราผู้ใหญ่ที่เห็นชีวิตมามากกว่าต้องช่วยกันในทุกโอกาสให้เยาวชนเข้าใจความถูกต้องว่าบุญกับบาปนั้นหักกลบลบกันไม่ได้ฉันใด ความดีกับความเลวก็หักลบกันไม่ได้ฉันนั้น

เรื่องสอง ความเหลื่อมล้ำในสังคมต้องแก้ไขด้วยอำนาจและความฉับพลันมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อรับรู้เรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยแล้ว “ของขึ้น” อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทันควันด้วยกำลัง ความต้องการอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอันบริสุทธิ์นี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะแสดงว่าสนใจอยากแก้ไขปัญหาของชาติ พวกเรผู้ใหญ่ต้องช่วยกันอธิบายว่ามันมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศของเรา มันเกิดขึ้นในทุกสังคม มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปประเด็นอยู่ที่ว่าโมเมนตั้มของมันไปในทิศทางใด และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำซึ่งเป็นต้นเหตุของสารพัดปัญหาอย่างจริงใจหรือไม่อีกทั้งกำลังเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมมากน้อยเพียงใด

ความไม่เท่าเทียมกันของโอกาสซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเป็นผลพวงจากความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้และความมั่งคั่งซึ่งมีมาแต่โบราณและจะมีอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการแทรกแซงด้วยมาตรการที่เหมาะสม(หนังสือThe Anatomy of Inequality(2016)โดยPer MolanderและThe Economics of Inequality (2015)โดยThomas Pikettyเป็นหนังสือ 2 เล่มที่ปลุกความสนใจเรื่องนี้ได้ดียิ่ง) ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องใช้ความมุ่งมั่นทั้งทางการเมืองและสังคมโดยใช้นโยบายเศรษฐกิจและสังคม

การเข้าใจธรรมชาติของความเหลื่อมล้ำ อีกทั้ง เข้าถึงสาเหตุที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำดำรงอยู่ของเยาวชนจะทำให้เกิด การพัฒนา กล่าวคือแปรเปลี่ยนความเร่าร้อนอันบริสุทธิ์ใจให้เป็นพลังร่วมกันแก้ไขปัญหาสืบต่อไปข้างหน้า

เรื่องสาม “เราไม่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศกันอีกต่อไปแล้ว เมื่อมีเครื่องมือแปลอันเลิศเช่นนี้ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา Googleได้เปิดตัวหูฟังไร้สายที่มีชื่อว่าPixel Buds ซึ่งสามารถแปลภาษาต่าง ๆ ที่สื่อสารถึงกันได้ทันทีทั้งสองทาง ในขั้นต้นนั้นครอบคลุม 42 ภาษา (มีภาษาไทยอยู่ด้วย)

เครื่องมืออัศจรรย์นี้ทำให้คนจำนวนมากคิดว่า ต่อนี้ไปไม่ต้องเรียนภาษาต่างประเทศให้ปวดหัวกันแล้ว เยาวชนจำนวนมากอาจละทิ้งความบากบั่นเล่าเรียนภาษาเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จนอาจสร้างความเสียหายได้มากในสังคมที่มีผู้คนเบาปัญญาอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

สถานการณ์นี้ก็คล้ายกับว่าเมื่อมีเครื่องคิดเลขแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องเรียนบวกลบคูณหารเลขอีกต่อไป แค่จิ้มแป้นเป็นก็ได้ตัวเลขแล้ว ที่อยากถามก็คือเมื่อมีคอมพิวเตอร์และเครื่องคิดเลขมานับ50-60 ปีแล้ว เหตุใดมนุษย์จึงไม่เลิกเรียนคณิตศาสตร์

คำถามที่ท้าทายให้เยาวชนคิดก็คือถ้าไม่ได้เรียนภาษาต่างประเทศและหากไม่มีเครื่องมือนี้ หรือเสีย หรือแบตเตอรี่หมดจะทำอย่างไร?จะเข้าใจป้ายจราจร ป้ายร้านค้า ป้ายประกาศซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศอยู่ริมถนนได้อย่างไร? ภาษามิได้มีแค่ฟัง ยังมีเขียนและอ่านอีก ถ้าไม่เรียนภาษาแล้วจะสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างสมบูณ์และมีประสิทธิภาพอย่างไร?

การเข้าใจ” “เข้าถึงของเยาวชนผ่านการตอบคำถามเหล่านี้จะทำให้เข้าใจว่า การพัฒนาตนเองที่ต้องตามมาคืออะไร หน้าที่ของพวกเราคือการชี้แจงว่าการเรียนภาษายิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคอมพิวเตอร์แปลถูกในทุกบริบท การเข้าใจภาษาต่างประเทศจะช่วยทำให้การใช้เครื่องมือเช่นว่านี้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น จะไม่มีวันที่อุปกรณ์หรือเครื่องมือใด ๆ มาทดแทนมนุษย์ได้ ตราบที่มนุษย์ยังคงมีจิตใจที่เป็นมนุษย์

หลักการเข้าใจ”“เข้าถึงและ พัฒนาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการทำงานรับใช้ประชาชนและการดำเนินชีวิตของมนุษย์ พวกเราสามารถน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรได้ด้วยการช่วยชี้แจงเยาวชนกันคนละไม้คนละมือ เพราะพวกเขาคือกำลังสำคัญของชาติในวันหน้าอย่างแท้จริง