ความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของพ่อ

ความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของพ่อ

เมื่อวานนี้เป็นวันที่บีบคั้นหัวใจคนไทยมากที่สุดวันหนึ่ง แต่ความสูญเสียนี้ไม่ได้เป็นความสูญสิ้นของคนไทย เพราะคำสอนและแบบอย่าง

การทำงานของพระองค์ท่านจะยังคงเป็นแสงสว่างส่องทางให้กับพวกเราตลอดไป

ผมได้ยินคนพูดถึงพระองค์ท่านในฐานะนักเศรษฐศาสตร์หลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นแนวทางการพัฒนาซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นองค์รวมและยั่งยืน

โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของพระองค์นั้นกว้างขวางและลึกซึ้งมากกว่านั้นอีก ก่อนจะบอกว่าทำไมผมจึงเชื่อเช่นนี้ ขอทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า นักเศรษฐศาสตร์ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญามาการันตี คนที่รู้จักคิดรู้จักตัดสินใจอย่างมีเหตุผล รู้จักชั่งน้ำหนักทางเลือกต่างๆ เปรียบเทียบผลได้ผลเสีย ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์แล้ว

ระดับความเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ใครจะเป็นนักเศรษฐศาตร์แบบไหนก็วัดจากขอบเขตของผลได้ผลเสียที่เอามาใช้ในการพิจารณาตัดสินใจนี่แหละ

หากเราสนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง ถ้าทำอะไรก็คิดอยู่เสมอว่าผลประโยชน์ของเราคนเดียวหรือเฉพาะพวกพ้องของเราได้คุ้มกับเสียหรือเปล่า ก็จัดว่าเราเป็นนักเศรษฐศาสตร์ฉายเดี่ยว ถ้าไม่มีคุณธรรมจริยธรรมมาคอยกำกับ นักเศรษฐศาสตร์แบบนี้ มีโอกาสจะกลายเป็นคนเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้

ผมเคยเห็นสติ๊กเกอร์ท้ายหลายคันเขียนไว้ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ก็เลยหมดแรงใจจะทำดี” คนที่คิดแบบนี้คือคนที่คิดจะทำดีเพื่อตัวเอง เป็นได้นักเศรษฐศาสตร์แค่ระดับฉายเดี่ยว เพราะหวังว่าทำความดีแล้วไปแล้ว ประโยชน์ของความดีต้องตกกับตัวเอง

นักเศรษฐศาสตร์ระดับดีขึ้นมาหน่อยเรียกว่านักเศรษฐศาสตร์จรรโลงสังคม คนประเภทนี้นอกจากจะคิดถึงผลกระทบของการกระทำของตัวเองว่าทำให้คนอื่นได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากน้อยแค่ไหนแล้ว เขายังรู้จักเอาประโยชน์ของตัวเองกับประโยชน์ของคนอื่นมาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับต้นทุนซึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง คนประเภทนี้ถ้ามีเยอะๆ จะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ไม่ค่อยมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงสุดเรียกว่า นักเศรษฐศาสตร์เพื่อมนุษยชาติ คนที่จะไปถึงระดับนี้ได้ต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติสำคัญสามประการ

ประการแรก  ต้องเห็นคุณค่าของความเป็นคน พร้อมจะเสียสละความสุขความสบายส่วนตัวเพื่อให้คนอื่นได้อยู่อย่างมีความสุข เรียกว่า ประโยชน์ของคนอื่นมีความหมายมากกว่าประโยชน์ของตนเอง

ประการที่ 2  รู้จักวางตัวเป็นกลาง ไม่คิดอะไรโดยใช้ความรู้สึกของตนเองมาเป็นบรรทัดฐาน คุณสมบัติข้อนี้จะเกิดขึ้นกับคนซึ่งเป็นคนเต็มคนอยู่แล้ว ไม่ต้องการแสวงหาอะไรให้กับตัวเองอีก

ประการที่ 3  ต้องเป็นผู้มีโอกาสหรือรู้จักสร้างโอกาสเพื่อให้ตนเองได้รับใช้คนหมู่มาก และมีสติปัญญาทรัพยากรเพียงพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จลุล่วงไปได้ มีความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เป็นคนพร้อมจะยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคนานับประการ เพราะเขาเชื่อว่า ผลเสียจากการยอมแพ้นั้นมันสูงมาก หากยกธงขาวเสียแล้ว สังคมจะขาดทุน

ในสังคมไทยมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีคุณสมบัติข้อแรก แต่มักจะขาดคุณสมบัติสองข้อที่เหลือ ใครที่ขาดคุณสมบัติข้อที่สองก็มักจะหลงคิดไปว่าความคิดของตนถูกต้องอยู่เพียงฝ่ายเดียว ใครพูดอะไรไม่ค่อยจะฟัง ทั้งที่ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว คนทุกคนมีขีดจำกัดในการคิดและรับรู้ การเลือกรับเองข้อมูลข่าวสารจากคนอื่นมาช่วยประกอบการตัดสินใจ ย่อมช่วยให้เราลดทอนข้อจำกัดนี้ลงและตัดสินใจได้ดีขึ้น

หากใครได้เคยดูสารคดีพระราชกรณียกิจของพระองค์คงทราบดีว่า ท่านทรงรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แม้แต่ชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาท่านก็ยังทรงตรัสถามเพื่อจะได้เรียนรู้ ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเข้าในเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้ขึ้น

คุณสมบัติข้อที่ 3 ของพระองค์นั้นกระจ่างชัดอยู่แล้ว พระองค์ทรงมีความรู้แตกฉานในหลายสาขาวิชา สามารถนำเอาองค์ความรู้เหล่านั้นมาบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาได้ ไม่ทรงย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งที่พระองค์ทรงมีทางเลือก พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงลงมาลำบากตรากตรำเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย แต่พระองค์ก็ทรงทำ สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับปวงชนชาวไทยมากกว่าความสุขส่วนพระองค์ ความสุขของส่วนรวมคือสิ่งสำคัญที่สุด

ในประวัติศาสตร์โลก ผู้ที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ข้อนี้มีน้อยจนแทบจะนับนิ้วได้ พระองค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเราโชคดีมาที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ แม้เราอาจไม่มีโอกาสได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงสุดเหมือนพระองค์ท่าน แต่อย่างน้อยการก้าวตามรอยเท้าของพ่อหลวงจะเลื่อนขั้นให้เราพ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ฉายเดี่ยวมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม แค่นี้บ้านเมืองเราก็น่าอยู่ขึ้นเป็นกองแล้วครับ