หุ้นบิวตี้จ่อนิวไฮ ลั่นยอดขาย-กำไรโต

 หุ้นบิวตี้จ่อนิวไฮ ลั่นยอดขาย-กำไรโต

พิธีกร Stock Gossip by Money Wise ติดตาม live จ-ศ 13.30-14.00 น.

นาทีนี้จะหาธุรกิจที่พึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศและยังมีการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกด้วยตัวเลขสองหลักคงเป็นเรื่องยาก ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทมี่ผ่านมาอยู่ในภาวะฟื้นตัว ทำให้มีแต่เรียกบ่นจากผู้ประกอบการว่ากำลังซื้อในประเทศแทบจะไม่เติบโต 

            หากแต่ ‘นพ. สุวิน ไกรภูเบศ ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)   หรือ BEAUTY ผู้ผลิตและจำหน่าย เครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์ความงาม ภายใต้ แบนด์ ‘บิวตี้’  การันตรีการเติบโตในปีนี้ ยังคงมากกว่า 20 % ทำให้มียอดขายอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรไม่น้อย 20 % จากครึ่งปีแรกเติบโต 30 % จะถือว่าเป็นสถิตินิวไฮใหม่ของบริษัท

            จากในช่วง 2558 – ครึ่งปีแรก ปี 2560 บริษัทมีรายได้ อยู่ที่  1,792 ล้านบาท  2,558 ล้านบาท และ  1,574 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรอยู่ที่  402 ล้านบาท  656 ล้านบาท  และ 472 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น  (Goss Profit Margin) อยู่ที่ 60 %

ปัจจัยสำคัญมาจากการยอดขายจากร้านค้าเดิม (Same Store Sales) อยู่ที่ 17.62 % ท่ามกลางจำนวนสาขาปัจจุบันในประเทศอยู่ที่  338 สาขา แบ่งเป็น บิวตี้ บุฟเฟ่ต์  257 สาขา  บิวตี้คอทเทจ 72  และบิวตี้ มาร์เก็ต  9 สาขา  และต่างประเทศมี 41 สาขา   ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นการเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นตัวเลขหลักเดียว

ขณะที่เป้าหมายของบริษัทต้องการเติบโตในระดับไม่ต่ำกว่า 10 % ในช่วงที่เหลือของปี  ซึ่งมีปัจจัยที่จะช่วยผลักดันมาจาก ยอดขายจำนวนต่อครั้งของลูกค้าที่ซื้อเพิ่ม  ยอดขายจากสมาชิก และ กลยุทธ์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM)

ช่วงที่ผ่านมาฐานลูกค้าชาวจีนมีสัดส่วนต่อยอดขายเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 30-35 % และมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้ตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเพิ่มขึ้นทุกปี  ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มักจะมีจุดหมายเข้ามาซื้อสินค้าของ บิวตี้ เพื่อนำไปเป็นของฝากใช้เองและนำไปแนะนำตามสื่อโซเซียลต่างๆ ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น

จากการประเมินตลาดในครึ่งปีหลังยอดขายและการเติบโตของกำไรยังคงดีต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงไตรมาส 4 ถือว่าเป็นไฮซีซั่นในธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจะมีการออกสินค้าใหม่  โปรโมชั่น  รวมไปถึงเปิดร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น

ตอนนี้ช่องทางการจำหน่ายสินค้าของบิวตี้มีทั้ง โมเดิร์เทรด ซุปเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนียสโตร์  แค็ตตาล็อก และยังมีอี-คอมเมิร์ท  ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางกลยุทธ์ที่สำคัญที่จะเห็นบริษัทรุกในปีนี้จะเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า

ตลาดอี-คอมเมิร์ช หรือตลาดสื่อโซเซียลคอมเมิร์ช มีการเติบโตมาโดยตลอด ในครึ่งปี 60 มียอดขาย 45 ล้านบาท จากเป้าหมายในปีนี้ที่ 113 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบการซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งคนไทย และต่างชาติ  ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

ช่องทางดังกล่าวยังมีต้นทุนที่ต่ำทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ด้วยยังมีสัดส่วนที่น้อยประมาณ 2 % ของยอดขายเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายผ่านร้านค้าที่มากกว่า แต่อนาคตคาดว่าจะขยายเพิ่มขึ้นได้อีก

 ‘ตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนของปีหน้ามองว่า ยอดขายที่คาดการณ์จะไม่ต่ำกว่า 20 % เช่นเดียวกัน  หากจะโตมากกว่านี้ต้องอาศัยปัจจัยทั้งภายในและนอกต่างประเทศเข้ามากระตุ้นด้วย’  นพ. สุวินกล่าว

            บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ได้ประเมินหุ้น BEAUTY จะมีผลประกอบการสูงสุดในงวดไตรมาส 3 ปี 60 จากยอดขายที่  1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  37 % จากปีก่อน และ  กำไร 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44 %  จากปีก่อน เป็นการเติบโตจากยอดขายทุกช่องทาง ทั้งร้านค้า สาขาต่างประเทศ และอี-คอมเมิร์ช

            ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ในอัตราที่สูง 68.5 %  ซึ่งได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ทำให้มีการปรับเป้าหมายกำไร 2560-2561 ใหม่   อยู่ที่ 1,090 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 66 % จากปีก่อน และ 1,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 % จากปีก่อน ตามลำดับ

            รวมทั้งปรับอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้  เป็น 68 % จากเดิม 67 %  และปีหน้าที่ 68.2 %  ด้วยความสามารถรักษาต้นทุนสินค้าได้ดีขึ้น  ท่ามกลางการชะลอเพิ่มสาขาในประเทศเพื่อรักษาการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมผ่านการออกสินค้าใหม่ โปรโมชั่น  และช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย จึงปรับราคาเป้าหมายเป็น 18.50 บาท

            บล.บัวหลวง  คาดการณ์ยอดขายและกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดดในไตรมาส 3 ปี 60 26%  และ 35% จากปีก่อนตามลำดับ และในไตรมาส 4 ปี 60 มียอดขายและกำไร เติบโต ถึงประมาณ 51% จากปีก่อนและ 87% จากปีก่อนตามลำดับ เป็นผลมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี

            ทั้งนี้ บริษัทเคยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการใช้โปรแกรม CRM กับลูกค้าในประเทศตั้งแต่ปี 2557 โดยหลังจากที่ใช้โปรแกรมดังกล่าว ยอดขายสาขาเดิมดีขึ้นมากจากเติบโตในระดับตัวเลขหลักเดียวมาเป็นตัวเลขสองหลัก เราเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง และยอดขายการเติบโตในต่างประเทศน่าจะขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่ผ่านมา

หากดูจากราคาหุ้น BEAUTY  ปรับตัวขึ้นมาทำให้ PER สูงถึง 32 เท่าปี 2560 หากแต่เมื่อเทียบกับกลุ่มค้าปลีกกลับต่ำสุด เป็นอันดับสองของกลุ่มที่เพียง 1.1 เท่าดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อเป็นอันดับแรกในกลุ่มค้าปลีกที่ราคา  18.60 บาท