แผนปฏิรูปภาษีของ Trump กับการเลือกลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

แผนปฏิรูปภาษีของ Trump กับการเลือกลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

แผนปฏิรูปภาษีของ Trump กับการเลือกลงทุนหุ้นสหรัฐฯ

การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้นักลงทุนคงจะอยู่ในช่วงมีความสุขเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ Dow Jones ปีนี้ทำจุดสูงสุดใหม่เกิน23,300 จุดไปแล้วแต่ยังมีเรื่องที่นักลงทุนต้องติดตามเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯคือการเปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดี Doanld Trump

สำหรับเรื่องการเปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีของนาย Trump นั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนรอคอยมาค่อนข้างนานตั้งแต่นายTrump เข้าดำรงตำแหน่งแต่ที่ผ่านมาเขาได้พยายามดำเนินเรื่องการยกเลิกและปรับแก้ไขในส่วนของกฎหมายประกันสุขภาพของประชาชนอเมริกันแต่ร่างกฎหมายฉบับใหม่ก็ยังไม่สามารถผ่านสภาสูงได้ เขาจึงเริ่มกลับมามุ่งที่จะทำเรื่องแผนปฏิรูปภาษีแทนแต่การแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับปฏิรูปภาษีนั้นไม่ง่ายเพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับงบดุลของภาครัฐซึ่งแผนปฏิรูปภาษีนี้จะช่วยให้บริษัทมีรายได้เพิ่มมากขึ้นและช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานเพิ่มตามที่นายTrump ได้หาเสียงไว้

โดยแผนปฏิรูปจะลดภาษีนิติบุคคลจากปัจจุบันที่ 35% ลดเหลือ 20% และให้เก็บภาษีอัตราต่ำชั่วคราวสำหรับบริษัทที่นำกำไรที่เกิดขึ้นนอกประเทศกลับเข้ามาในประเทศ (Repatriation Tax) แต่ส่วนนี้ยังไม่ได้ระบุอัตราภาษีออกมาพร้อมทั้งจะผลักดันให้เปลี่ยนวิธีการเก็บภาษีเป็นตามแหล่งที่มาของรายได้ (Territorial Tax System) แทนการเก็บภาษีทั่วโลก (Worldwide Tax System) ที่ใช้อยู่ในเนื่องจากปัจจุบันบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่มีกำไรนอกประเทศจะถูกเก็บภาษีซ้ำซ้อนจาก1) กำไรจากรายได้ที่เกิดขึ้นนอกประเทศซึ่งจะถูกเก็บภาษีในประเทศนั้นๆ และ2) ภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯซึ่งจะถูกจัดเก็บในตอนที่นำกำไรกลับเข้าประเทศซึ่งระบบภาษีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการส่งเสริมให้บริษัทสหรัฐฯคงเงินไว้นอกประเทศและส่งผลเสียต่อการลงทุนการจ้างงานในสหรัฐฯซึ่งถ้าเปลี่ยนไปใช้ Territorial Tax System รัฐจะยกเว้นภาษีให้กับกำไรที่เกิดนอกประเทศและเก็บเฉพาะกำไรที่เกิดในประเทศ

ทั้งนี้ แผนการลดภาษีนิติบุคคลคาดว่าน่าจะผ่านสภาได้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2018 ซึ่งความคาดหวังของตลาดหุ้นในเรื่องนี้ยังไม่ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นมากเท่าไหร่โดยค่ากลางของอัตราภาษีนิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนในดัชนีS&P500อยู่ที่ราว28%ซึ่งยังต่ำกว่าอัตราภาษีตามกฎหมายที่35%ค่อนข้างมากและจากการศึกษาของDeutsche Bank ประเมินว่าผลของการลดภาษีนิติบุคคลลง10% (จาก35% เป็น25%) จะทำให้กำไรสุทธิรวมของของดัชนีS&P500 เพิ่มขึ้น7%และหุ้นกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเป็นหลักเช่นกลุ่มธนาคารและหุ้นขนาดกลาง-เล็กซึ่งเสียภาษีในอัตราซึ่งสูงกว่าโดยรวมจะได้รับผลประโยชน์ทางบวกจากการลดภาษีช่วยให้มีกำไรสูงขึ้น

ส่วนภาษีพิเศษสำหรับการนำกำไรที่เกิดขึ้นนอกประเทศกลับเข้ามาในประเทศนั้นจะเอื้อประโยชน์ให้หุ้นในกลุ่มที่มีกำไรเก็บอยู่นอกประเทศเป็นจำนวนมากเช่นกลุ่ม IT และHealth Care ที่สะสมกำไรอยู่นอกประเทศราว633 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และ151 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามลำดับซึ่งหากมีการนำกำไรกลับเข้ามาในประเทศก็อาจมีการประกาศเพิ่มการจ่ายปันผลหรือการซื้อหุ้นคืนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นด้วย

เพราะฉะนั้น หากแผนการปฏิรูปภาษีของนาย Trump ผ่านสภาได้สำเร็จจะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นเติบโตมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ดำเนินธุรกิจในประเทศเป็นหลักจะได้ประโยชน์จากการปรับลดภาษีนิติบุคคลลดลงและการให้ภาษีอัตราพิเศษสำหรับการนำกำไรที่เกิดขึ้นนอกประเทศกลับเข้ามาในประเทศนั้นกลุ่มบริษัทที่จะได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มบริษัท IT และ Health Care ที่มีกำไรสะสมไว้ในต่างประเทศเป็นเม็ดเงินที่สูงมากหุ้นกลุ่มเหล่านี้จึงเป็นกลุ่มที่น่าเลือกลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตได้มากขึ้นครับ

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเองสามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่[email protected] ครับ