ความฝันที่ไม่เคยบอกใคร

ความฝันที่ไม่เคยบอกใคร

ผมไม่รู้ว่าตอนที่ผมยังเด็กมากๆ ผมยังจำอะไรไม่ได้มากนักหรือตอนนั้น พ่อแม่ผมยังไม่ทะเลาะกัน ?! แต่เมื่อผมจำความได้ พ่อแม่ก็ทะเลาะกันมาโดยตลอด

ทะเลาะกันรุนแรงหนักเบาต่างๆกันไป แต่โดยรวมๆถือว่าแรงสำหรับผม ที่ว่าแรงก็เพราะผมไม่เคยชินกับมันได้สักที ผมเป็นประจักษ์พยานการทะเลาะกันของพ่อแม่มาตลอดจนโต เรื่องที่เขาทะเลาะกันก็ไม่พ้นเรื่องนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน และที่สำคัญคือปัญหาการเงิน พ่อผมเป็นหมอเรียนสูงจบนอก แม่ผมจบประถมสอง 

แต่พ่อมีข้อเสียมากอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งหนักหนาพอดู พ่อผมชอบเล่นการพนัน แต่เท่าที่จำความได้ ผมเห็นพ่อเล่นการพนันอยู่อย่างเดียวคือ ซื้อลอตเตอรี่ทีละมากๆ และเล่นหวยใต้ดินทีละมากๆ มากแค่ไหนไม่รู้ รู้ผ่านแม่บอก แต่ที่รู้ๆก็คือ ของในบ้านที่มีค่าจะหายไป เพื่อนำไปใช้หนี้ แต่ปัญหาการเงินไม่เคยกระทบชีวิตประจำวันผม ถึงวันหนึ่ง ก็รู้ว่าพ่อมีหนี้เป็นล้านในสมัยนั้น 

ส่วนข้อเสียของแม่ผม ก็มีอยู่อย่างเดียวเหมือนกัน นั่นคือ ปากร้าย อารมณ์รุนแรง และด่าเจ็บจนเข้ากระดูก พ่อไม่โต้เถียง นิ่งเงียบ แต่ไม่ยอมเลิกเล่นหวย ผมมักไม่เห็นข้อเสียของพ่อเท่ากับแม่ เพราะได้ยินแต่แม่ด่าพ่อ ก็รู้สึกเห็นใจพ่อ บางครั้ง ยายมาจากต่างจังหวัดและได้ฟังแม่ด่าพ่อ ก็ถึงกับไปขอให้พ่ออย่าถือสา โดยอ้างว่า ตอนเด็กๆแม่เคยถูกหมาบ้ากัด เชื้อยังฝังอยู่ ไม่รู้ว่ายายสร้างเรื่องขึ้นมาหรือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่แม้ว่าจะจริง พ่อซึ่งเป็นหมอก็ย่อมรู้ดีว่า คนถูกหมาบ้ากัด ถ้ารักษาหายก็หาย ไม่มีติดค้าง ถ้าติดก็ตายเท่านั้น บางครั้ง พ่อก็ทนไม่ไหวหายตัวไป และบางครั้ง แม่ก็ทำท่าจะไป แล้วผมหละ ? ตอนผมยังไม่ถึงชั้นประถมสี่ พ่อกับแม่จะหย่ากัน ! 

เวลาพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรง ก็จะมีคุณลุงคุณป้าคุณย่าคุณยายและผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพมาช่วยไกล่เกลี่ยกันหลายๆครั้ง ทุกครั้งที่มีผู้ใหญ่เข้ามา ผมจะดีใจจนเนื้อเต้นและแอบฝากความหวังว่า ผู้ใหญ่ที่เข้ามาต่างกรรมต่างวาระจะช่วยทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ แต่ก็มักลงเอยด้วยการที่พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านั้น จนใครๆที่เข้ามาต่างก็ส่ายหัว เพราะพ่อยืนยันไม่ยอมเลิกเล่น และแม่ก็ยืนยันที่จะใช้วาจาแบบนั้น 

ดูเหมือนไม่มีใครในโลกนี้ที่พ่อแม่จะเกรงใจและยอมรับฟัง แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า พ่อก็ไม่สน มิพักต้องพูดถึงลูก หลายครั้งหลายครา ผมจนแต้มคิดอะไรไม่ออก หาที่พึ่งไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ที่รู้จักก็ดาหน้ากันมาหมดแล้ว หลายคนบอกศาลาว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรอีก 

เมื่อถึงตาจนท่ามกลางเสียงทะเลาะหรือท่ามกลางความเงียบที่ไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ผมจะนอน นอนก่ายหน้าผาก จนบางทีก็หลับไปในอาการนั้น จำไม่ได้ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร เพราะมันเป็นแบบนี้มาตลอด เมื่อสถานการณ์มันสุดๆ ผมจะจินตนาการฝันไปว่า ในโลกนี้ ยังเหลืออีกคนหนึ่งที่ผมเชื่อว่า พ่อแม่คงต้องฟังและเกรงใจ ผมไม่กล้าคิดต่อ...แต่ในที่สุดก็ถามตัวเองว่า ถ้าในหลวงท่านมาที่บ้าน ผมเชื่อว่าพ่อแม่จะต้องหยุดทะเลาะกัน พ่อน่าจะเลิกเล่นหวยได้ และแม่ก็น่าจะควบคุมอารมณ์ได้ ในหลวงท่านคงจะให้พ่อแม่ได้คิดและได้ไตร่ตรองให้ดีว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ....แต่เด็กประถมสี่อย่างผมก็ได้แต่คิดฝันไป และทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ก็จะคิดเสมอ และไม่กล้าบอกใครมาตลอดชีวิต จนลงมือเขียนวันนี้ แต่ขณะเดียวกันก็แอบคิดด้วยว่า ถ้าพ่อแม่ยังไม่ยอมฟัง ผมยังจะเหลืออะไรให้แอบคิดหวังพึ่งในจินตนาการความฝันอีก เพราะแม้จะเป็นจินตนาการความฝัน แต่ผมก็แอบมีความสุขเสมอว่า ถ้าในหลวงมา พ่อแม่จะเลิกทะเลาะกัน 

ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมคิดถึงในหลวงอย่างนั้น ? เพราะตอนนั้นมันปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ผมแค่เก้าขวบ 

เมื่อโตขึ้น ผมได้รู้ได้เห็นว่า บางครั้ง เมื่อผู้คนขัดแย้งกันทางการเมืองรุนแรงประหัตประหารกัน ในหลวงท่านก็ทำให้หยุดได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

 เมื่อผมมีครอบครัว มีลูก ๒ คน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้รักกันมาก แต่ยามที่มีปัญหา ผมก็ยังโชคดีที่พวกเขายังฟังผม ผมยังรู้สึกดีอยู่ว่าพวกเขายังให้ความสำคัญกับความเป็นพ่อของผม แม้ว่าผมจะไม่ใช่พ่อที่ประเสริฐอะไรนักหนา 

 ไม่นานมานี้ มีวิกฤตการเมืองรุนแรงในบ้านเมืองเรา และดูท่าว่า จะไม่ฟังเสียงกันเลย หาใครเป็นที่เกรงใจของแต่ละฝ่ายไม่ได้ หาคนกลางไม่ได้ ผมไม่อยากจะคิดเลยว่า ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ในหลวงท่านจะรู้สึกอย่างไร ? 

สื่อฝรั่งชอบพูดเป็นทำนองว่า สาเหตุที่ผู้คนพากันเศร้าโศกเสียใจมากกับการจากไปของในหลวงเพราะท่านครองราชย์มายาวนานมาก คนไทยยังไมคุ้นเคยกับการเปลี่ยนรัชกาล แต่สำหรับผม แม้ว่า ๗๐ ปีจะเป็นการครองราชย์ที่ยาวนานที่สุดของพระเจ้าแผ่นดินในการเมืองสมัยใหม่ 

แต่สำหรับผม ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นและช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน.... 

“.....ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ให้กำลังใจทำได้ดี แต่วันนี้ไม่พูดให้ทำอะไร ทะเลาะกันไม่เอา ไม่ให้ทะเลาะ ให้ทำอะไรที่ดูดี และคิดให้อย่าเกิน อย่าเลยเถิด แต่ถ้าทุกคนทำงานให้เหมาะสม บ้านเมืองจะไปได้ ให้แต่ละคนไปได้ ไม่ใช่มีการหัวชนฝาจะทำอะไร ก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คือทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียงไปไม่ได้ แต่ถ้าพอเพียงสามารถนำพาประเทศไปได้ดี ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จพอเพียง เพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง ก็ไม่รู้ คนที่รับพรก็รับไป คนที่ไม่รับพร ก็คิดในใจ ขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พร เรารับพรของท่าน  (ส่วนหนึ่งของพระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘)