สี จิ้นผิง...ในตำแหน่งผู้นำทรงอิทธิพลสูงสุดของจีน

สี จิ้นผิง...ในตำแหน่งผู้นำทรงอิทธิพลสูงสุดของจีน

สี จิ้นผิง...ในตำแหน่งผู้นำทรงอิทธิพลสูงสุดของจีน

ปิดฉากลงไปแล้วกับที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 19 สิ่งที่ตลาดพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย คือ แนวคิดทางการเมืองของปธน.สี จิ้นผิงที่ถูกบรรจุลงในธรรมนูญของพรรค ซึ่งเทียบเท่ากับการยกย่องปธน.สี จิ้นผิง ให้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับอดีตปธน.เหมา เจ๋อตุง และปธน.เติ้ง เสี่ยวผิง บ่งบอกถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ในมือของปธน.สี จิ้นผิงนั่นเอง นอกจากนี้ การแต่งตั้งคณะกรรมการประจำกรมการเมือง (Politburo Standing Committee) ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่กุมอำนาจการบริหารพรรคไว้สูงสุดก็มีชื่อคนใกล้ชิดของปธน.สี จิ้นผิงถึง 3 คนจากสมาชิกทั้งหมด 7 คน คือ นายจ้าว เล่อจี้ นายหวัง หูหนิง และนายหลี่ จานชู ทั้งนี้ ปธน.สี จิ้นผิงได้แหกกฎประเพณีโดยเลือกที่จะไม่แต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งในปี 2563 แต่อย่างใด นั่นอาจหมายถึงความต้องการที่จะดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย

คราวนี้เราลองมาคิดถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ และนโยบายกันบ้าง ที่แน่นอน คือ ความสามารถในการผลักดันการปฏิรูปของรัฐบาลจีนจะแข็งแกร่ง และรวดเร็วมากขึ้น เพราะเสียงคัดค้านต่อนโยบายตามแนวคิดของปธน.สี จิ้นผิงจะอ่อนแรงลง ทั้งนี้ เรามองว่านโยบายการปฏิรูปประเทศจีนจะเป็นไปในแนวทางเพื่อสร้างเสถียรภาพ และคุณภาพในระยะยาว โดยเน้นย้ำในเรื่อง 1) การลดภาระหนี้ภาคเอกชนที่มีการผลิตส่วนเกิน 2) การรักษาสิ่งแวดล้อม 3) การพัฒนาด้านสังคมสงเคราะห์ 4) การลดความไม่เท่าเทียมทางสังคม และ 5) การผลักดันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งการบังคับใช้นโยบายการปฏิรูปทั้งหมดที่กล่าวมาเริ่มเห็นผล สังเกตได้จากตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายๆตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของปี 2560 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 6.8% ทรงตัวดีจากระดับ 6.9% ในไตรมาส 1 และ 2 ของปี รวมถึงระดับ GDP ที่ 6.7% ในปี 2559 สอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลจีนที่ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกต่อไป และหันมาเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืนแทน นอกจากนี้ หากพิจารณาลงลึกในแนวโน้มของตัวเลข GDP จีน เราจะพบกว่าตัวเลขการขยายตัวของภาคบริการนั้นแข็งแกร่งที่ระดับ 7.8% เมื่อเทียบปีต่อปี สูงกว่าภาคการผลิตจีนที่เติบโต 6.3% ในไตรมาสล่าสุด

อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนจะเริ่มชะลอตัวลงต่อจากนี้ จากมาตราการควบคุมระดับหนี้ และฟองสบู่ราคาบ้านเมืองใหญ่ เปรียบเสมือนว่าการบริหารประเทศปัจจุบันของปธน.สี จิ้นผิงเหมือนการขับรถที่คอยเหยียบเบรค และมุ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆนั่นเอง ดังนั้น ความเสี่ยงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านโครงสร้างประเทศ หรือนโยบายการปฎิรูปใหม่ๆนั้นก็เป็นอันตกไป

ถัดไป เราลองมาคิดถึงผลกระทบในแง่การลงทุนกันบ้าง หากพิจารณาตลาดหุ้นจีน ณ ราคาปัจจุบันยังถือว่าราคาหุ้นจีนยังคงถูก เห็นได้จากระดับ PE Ratio ของดัชนี Shanghai Composite ที่ซื้อขายกันที่ 13.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 12 ปีที่ 15 เท่า อย่างไรก็ดี ในปีนี้เอง หุ้นจีนมีการปรับตัวขึ้นแรงโดยดัชนี Shanghai Composite และดัชนี HSCEI บวกขึ้นไป 9.5% และ 22.3% ตามลำดับ อาจจะต้องมีกลยุทธ์ในการคัดสรรเลือกลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจับตามอง คือ 1) กลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ ที่จะได้ผลประโยชน์จากมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม 2) กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งปธน.สี จิ้นผิงในความสำคัญอย่างมาก เห็นได้จากคำแถลงของปธน.สี จิ้นผิงที่พูดถึงคำว่า “Environment” ถึง 89 ครั้ง บ่อยที่สุดในที่ประชุมสมัชชาที่ผ่านมา และ 3) กลุ่ม IT ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว