สตาร์ทอัพ  Up&Down&Up&Down!

สตาร์ทอัพ  Up&Down&Up&Down!

ช่วงนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น มีบริษัทสตาร์ทอัพเข้ามาปรึกษาหลายบริษัทด้วยกัน

โดยรวมๆ แล้ว เหมือนจะมีปัญหาคล้ายๆ คือ ไม่สามารถขยายตลาดได้อย่างที่คิด  จึงมาปรึกษาผม โดยหวังว่าถ้าทำ “ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง” ได้แบบถูกต้องถูกวิธี น่าจะแก้ปัญหาได้

พอนั่งคุยนั่งถามสัมภาษณ์ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจกันแน่ ปรากฏว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเสียแล้ว กลายเป็นว่ามีปัญหาตั้งแต่ตัวโปรดักท์ หรือแพลตฟอร์ม กันเลยทีเดียว

สร้างโปรดักท์ที่ไม่มีคนต้องการขึ้นมา

บางคนมั่นใจในตัวโปรดักท์มาก ประมาณว่าลอกไอเดียมาจากต่างประเทศ แล้วที่ต่างประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก และคิดว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จในไทยด้วยแน่ๆ

อันนี้บอกเลยครับว่า คิดผิดมหันต์! ไม่จำเป็นเสมอไปครับ ว่าธุรกิจประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แล้วจะมาประสบความสำเร็จในไทย เคสง่ายๆ อีเบย์ที่ประสบความสำเร็จมากๆในอเมริกา แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ในจีน หรือ แม้กระทั่งในไทย

นอกจากนั้นบริษัทสตาร์ทอัพส่วนหนึ่ง กลับมีวิธีคิดแปลกๆ โดยคิดว่า ไม่ควรจะริเริ่มไอเดียใหม่ๆ แต่ควรจะใช้ Business Idea ที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศมาแล้วมากกว่า เพราะนักลงทุนจะสนใจมากกว่า คือทำสตาร์ทอัพ เพื่อ Raise Fund หาเงินจากนักลงทุน โดยมองปลายทางของตัวเองอยู่ที่การ Exit ขายหุ้นตัวเองออก เพื่อทำเงินก้อนโตกลายเป็นเศรษฐี

ฟังแล้วแอบมึนๆ ไม่แน่ใจว่าแนวคิดแบบนี้ มาจากสำนักไหน ตำราใด แต่เอาเป็นว่าผมไม่เห็นด้วยเลยครับ

ผมคิดว่าเป้าหมายหลักของการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพหรือ ไม่ใช่สตาร์ทอัพ คือ เราสร้างธุรกิจขึ้นมาเพื่อแก้ไข ปัญหาอะไรบางอย่างของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ถ้าโปรดักท์ หรือแพลฟอร์ม ของเราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ ในราคาที่สมเหตุสมผล อย่างไรเสียแล้วธุรกิจก็ยังพอจะมีทางไปต่อได้

ไม่จำเป็นเลยครับ ว่าจะเป็นไอเดียใหม่พลิกโลก หรือ ก็อบปี้ไอเดียจากคนอื่นเค้ามา แอบมีความคิดคล้ายๆ เติ้งเสี่ยวผิง “ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี”

อีกประเด็นคือ การทำบริษัทสตาร์ทอัพ โดยหวังจะหาเงินโดยการ Raise Fund จากนักลงทุนเป็นเป้าหมายหลัก ผมกลับมองว่าแนวคิดแบบนี้ ค่อนข้างอันตรายมาก!

ผมมีแนวคิดว่า ในธุรกิจเบื้องต้น ควรพยายามที่จะยืนได้ด้วยตัวเองก่อน และควรมีบิซิเนส โมเดล การทำเงินที่ชัดเจน ตั้งแต่วันที่เริ่มทำธุรกิจเลย

อารมณ์ประมาณว่า ตอนตั้งไข่ทำธุรกิจมีเงินทุนไม่มาก ก็อาจจะทำกำไรได้น้อยหน่อย แต่ถ้ามีเงินทุนอัดฉีดลงมา จะมีโอกาสทำกำไรมากกว่านี้หลายเท่า

ถ้าทำได้ประมาณนี้ รับรองว่าหานักลงทุนได้ไม่ยากครับ นักลงทุนทั้งหลายจะพากันวิ่งเข้าหาและอยากจะลงทุนด้วย ทันทีที่เราเปิดปาก โดยบอกว่าอยากได้เงินทุนมาทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอีกขั้น

สตาร์ทอัพเองก็จะได้ไม่ต้องกดดัน รีบรับข้อเสนอจากนักลงทุน เพราะตัวธุรกิจสามารถยืนด้วยตัวเองได้ สามารถที่จะเลือกดีลที่ดีที่สุดที่ทะยอยเข้ามา

บางคนอาจจะโต้เถียง โดยการยกเคสแบบ เฟซบุ๊ค กูเกิล ซึ่งในวันแรกที่ก่อตั้งธุรกิจ ยังไม่มีโมเดลการทำรายได้ที่ชัดเจนนัก แต่อยากจะบอกว่า เคสนี้เป็นเคสชนิดหนึ่งในร้อยหรือ หนึ่งในพันที่เกิดขึ้นครับ  และที่สำคัญ คุณเป็นอัจฉริยะแบบ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หรือ แลร์รี เพจ & เซอร์เกย์ บริน หรือเปล่า?

ดึงสติกลับมาให้มั่น ถ้าคุณอายุเกิน 20 ปี แต่เงินในบัญชียังมีไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์ คุณอาจจะยังไม่ใช่อัจฉริยะในเชิงธุรกิจ เท่ากับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หรือ แลร์รี เพจ & เซอร์เกย์ บริน แน่ๆครับ

การทำธุรกิจสตาร์ทอัพ ไม่กิ๊บเก๋ เท่ คูล อย่างที่หลายคนคิดครับ จริงๆ ออกจะโหดร้ายทารุณกว่าธุรกิจธรรมดาหลายเท่าด้วย หลายคนจึงพยายามหนีออกจากโลกของความจริง แล้วไปอาศัยอยู่ในโลกของความฝัน เพื่อปลอบประโลมจิตใจตัวเอง กว่าจะตื่นขึ้นมา ก็พบว่าธุรกิจไปไม่รอดเสียแล้ว อย่าไปฝันว่าสตาร์ทอัพ แล้วจะ Up เลยครับ

โลกแห่งความจริงคือ Start Up & Down & Up & Down & Up & Down …….

ให้ Up มันมากกว่า Down ทุกครั้งก็แล้วกัน!