ดักซื้อหุ้นไทยย่อตัวส่งท้ายปี หลังดัชนีทะลุ1700จุด

ดักซื้อหุ้นไทยย่อตัวส่งท้ายปี หลังดัชนีทะลุ1700จุด

พิธีกร Stock Gossip by Money Wise ติดตาม live จ-ศ 14.15-14.30 น.

หุ้นไทยมาถึงจุดที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 24 ปีได้สำเร็จด้วยการแตะที่ระดับ 1700 จุด แล้ว (6 ต.ค. ) หลังจากที่รอมานานว่าเมื่อไรหุ้นไทยจะได้เห็นสถิติใหม่ซักที จากที่ในอดีตดัชนีแทบจะทรงๆ ทรุด ๆ อยู่ตลอดเวลา

การขึ้นมาในรอบนี้หลายโบรกเกอร์มองไปในทิศทางเดียวกันหมดว่าได้เห็นดัชนีหุ้นไทยทะลุ 1700 จุด แน่นอน หากไม่ใช่ภายในปีนี้ ก็ต้องเห็นภายในปีหน้า จนบางโบรกเกอร์ปรับเป้าดัชนีหุ้นกันยกใหญ่ ได้เห็นถึงระดับ 1800 -1900 จุด

หากจะเห็นในระดับนั้นได้ต้องมีปัจจัยสอดคล้องไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าเลือกตั้งตามประกาศของภาครัฐ การขยายต่อเนื่องของจีดีพี การส่งออกบวกต่อ โครงการภาครัฐไม่สะดุด และกฎหมายใหม่ที่จะออกมารองรับเพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทย อย่างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี เป็นต้น

การลงทุนในรอบนี้มีนักลงทุนรายหลายมีความกลัวจะตกรถไฟขบวนนี้และทำให้พลาดการลงทุน หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปต่อ ดังนั้นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้ จึงต้องมาดูเรื่องการลงทุนให้เห็นภาพชัดเจนว่าจะมีโอกาสและจังหวะลงทุนอย่างไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง

เมื่อวัดจากดัชนีหุ้นไทยจากปลายปีก่อนดัชนีปิดที่ 1542 จุด จนถึงปัจจุบัน บวก 9.59 % หากเทียบช่วงก.ย.- ต.ค. ปีนี้ ดัชนีบวกถึง 7 % และเพียงแค่สัปดาห์แรกของเดือน ต.ค. ดัชนีบวกไป ถึง 1 %

การแกว่งตัวแรงขนาดนี้และเหลืออีก 3 เดือนก่อนจบปีนี้ไป นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)อาร์เอชบี (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน) แนะว่าพอมีโอกาสหาจังหวะการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน เพราะภาพระยะยาวหุ้นไปต่อถึงปีหน้า ที่ดัชนี 1795 จุด ด้วยจีดีพี 4 % พี/อี 16.85 เท่า พี/บีวี 2.05 เท่า

ดัชนีหุ้นที่ขึ้นมาแตะ 1700 จุด จะเจอแนวต้านและเกิดการย่อตัวพักฐานสำคัญ โดยมีโอกาสลงไปที่ 1680 จุด อาจจะเห็นในเดือน ต.ค. เนื่องจากมีงานพระราชพิธี และวันหยุด ทำให้นักลงทุนหยุดพักการซื้อขายไปช่วงนั้น

ทางเทคนิคหากดัชนีลงไปปิดที่1650 จุด เป็นแนวรับสำคัญ จะเห็นการปรับตัวขึ้นน่าจะเป็นช่วง พ.ย.ที่เริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาอีกรอบ จนไปถึงเดือน ธ.ค. ซึ่งช่วงนั้นมีเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาหนุน

โดยปกติระหว่างปลายปีกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดการลงทุนเพื่อหยุดยาว แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยไม่มาก เพียงหมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าจะกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกในปีหน้า

ดังนั้นการลงทุนเน้นไปที่ 4 หลุ่มหลัก กลุ่มอุปโภค-บริโภค กลุ่มโรงแรม กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะได้รับอนิสงค์ภาพรวมจากภาวะเศรษฐกิจไทยข้ามไปถึงปีหน้า

หุ้นที่แนะนำ มี บมจ. เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ที่ราคา 59.50 บาท ,บมจ. มาลีกรุ๊ป(MALEE ) ที่ราคา 48.50 บาท , บมจ.เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป (PLAT) ที่ราคา 10.30 บาท ,บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ราคา 24 บาท ,บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ราคา47 บาท ,บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า (CENTEL) ราคา 49.50 บาท และ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์ ) หรือ AP ที่ราคา 8.80 บาท

นายชัยยศ จิวางกูร ผอ. ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก มองที่ระดับดัชนี 1700 จุด จะเห็นการพักฐานแน่นอน และดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบขาขึ้นไปจนถึงปีหน้า ที่ดัชนี 1750 จุด การพักตัวจะเห็นช่วงเดือนต.ค. ตลาดจะซึม ดัชนีแกว่งตัวไม่มาก ดังนั้นทำให้มีโอกาสเข้าไปลงทุนหากใครยังไม่มีหุ้นในมือ

ส่วนใครที่มีลงทุนอยู่แล้วสามารถถือลงทุนข้ามปีได้เลย เพราะเดือน พ.ย. การลงทุนจะกลับมาเริ่มเล่นประเด็นผลประกอบการไตรมาส 3 กันแล้ว แนะนำลงทุนในกลุ่ม โรงกลั่น จะโดดเด่นจากค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 11 เหรียญต่อบาเรล ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 7 เหรียญต่อบาเรล

ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 4 เปลี่ยนไปยังกลุ่มท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซัน กลุ่มค้าปลีก เห็นการใช้จ่ายของประชาชนช่วงท้ายปีมากขึ้น และกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ ได้รับผลดีจากค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง และคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากขึ้น

อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังด้วยว่าระหว่างนี้แรงซื้อของต่างชาติเริ่มน้อยจะเห็นตั้งแต่สัปดาห์ที่สองของเดือน ธ.ค. เพื่อหยุดยาว  ซึ่งปัจจุบันการซื้อขายของต่างชาติเริ่มผันผวนมากขึ้นไม่ได้เดินหน้าซื้อเพียงฝั่งเดียว  เพียงแต่แรงขายคงไม่ได้มาก หรือรุนแรงเท่ากับหลายปีที่ผ่านมาในระดับแสนล้านบาทแล้ว