เติมความคิด สร้างธุรกิจมีมูลค่า

หากแต่สิ่งไม่มีชีวิตที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็เริ่มฝังชิพและมีสมองกลที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ และไม่ใช่แค่พื้นที่ส่วนตัวอย่างบ้านหรือสำนักงานเท่านั้น หากแต่พื้นที่สาธารณะต่างๆก็สามารถสื่อสารสัมพันธ์กับเราได้ หลายสถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่อุทยานแห่งชาติ เริ่มติด QR Code เพื่อบรรจุคำอธิบายไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบข้อความ (Text) หรือเสียง (Voice) โดยเพียงแค่เราเอากล้องในโทรศัพท์ไปส่องเท่านั้น

 

สำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตั้ง App สำหรับอ่าน QR code ก็ยังสามารถใช้ Line ที่มีฟังก์ชั่นอ่าน QR code อยู่ภายใน แต่ปัจจุบันคงสะดวกมากยิ่งขึ้นเมื่อ Facebook เพิ่งจะบรรจุฟังก์ชันนี้เข้ามา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต่อไปนี้ทั่วโลกการสื่อสารและชำระค่าสินค้าที่ง่ายที่สุดน่าจะหนีไม่พ้น QR Code ซี่งประเทศจีนมาทีหลังแต่กลับมีความทันสมัยในระบบการชำระเงินเหนือประเทศตะวันตกเสียอีก นี่อาจจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเอเชียดูจะมีความไวในการใช้เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันได้เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริงมากกว่ายุโรปและสหรัฐ ที่มักจะมองไปที่ระบบซับซ้อนยุ่งยากกว่า

 

หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ร้านค้าเล็กๆเริ่มย้ายตัวเองจากโลกจริง (physical world) เข้าไปอยู่ในโลกเสมือน (virtual world) ได้เร็วและมีพลวัตรมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ต่อไปเราจะเริ่มเห็นการทำงานที่เชื่อมโยง 2 โลกมากขึ้น ร้านค้าจริงอาจจะทำหน้าที่เป็นแค่โชว์รูมแสดงสินค้า เพื่อให้ลูกค้าได้จับได้ลองเพื่อซึมซับประสบการณ์และความรู้สึกจริง แต่จะสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หลังจากที่ได้ศึกษาข้อมูล ราคาเปรียบเทียบ และรีวิวจากผู้ใช้ด้วยกันเอง

 

ธุรกิจต่างๆจึงไม่จบแค่การขายสินค้าและบริการของตัวเองเท่านั้น หากแต่ต้องมองไกลออกไปจากตัวเอง ด้วยการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ขายดีไซน์ ขายประสบการณ่ และขายโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ตรงใจกับลูกค้าแต่ละรายหรือแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจนมากขึ้น 

 

ในอดีตที่อยู่อาศัยแต่ละครอบครัวจะเริ่มต้นจากการซื้อที่ดินเก็บไว้ หรือโชคดีหน่อยอาจจะได้ที่ดินมรดกจากตระกูล เพื่อใช้สร้างบ้านตามกำลังฐานะของแต่ละคน ส่วนบ้านสำเร็จรูปหรือครอบครัวที่หาที่อยู่แบบทำการค้าได้ ก็มักจะเป็นในรูปตึกแถวหรือที่เรียกกันว่า อาคารพาณิชย์ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันการจะซื้อที่ดินและสร้างบ้านเองเป็นอะไรที่ยากมาก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงเข้ามาเติมเต็มและสานฝันให้กับคนรุ่นใหม่ให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทาวน์โฮม ทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยว

 

คอนโดมีเนียม แทรกตัวเข้ามาสำหรับพื้นที่หนาแน่นกลางใจเมือง ใกล้สถานที่ทำงานที่มีระบบขนส่งมวลชนสมัยใหม่อย่าง รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ด้วยพื้นที่ขนาดพอเหมาะแต่จุคนได้มาก การใช้พื้นที่จึงออกมาในแนวตั้งเป็นหลัก แต่เดิมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็มุ่งขายห้องว่างๆ หรือบ้านเปล่าที่ยังไม่มีการตกแต่งอะไรมาก แต่ในปัจจุบันหลายบริษัทเริ่มขายบ้านหรือห้องคอนโดที่มีการออกแบบตกแต่งแบบพร้อมเข้าอยู่ อีกทั้งยังสามารถเลือกดีไซน์หรือรูปแบบได้ตามความต้องการของผู้ซื้อ ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางหรือภายนอกบ้าน ก็ยังใส่นวัตกรรมและคุณค่าใหม่ๆ อาทิ หลังคาโซลาร์รูฟ ประตูเปิดปิดแบบคีย์การ์ด อินเทอร์เน็ตรอบหมู่บ้าน กล้องวงจรปิดแบบจับภาพและนำมาวิเคราะห์ใบหน้าหรือสิ่งผิดปกติได้ ระบบให้บริการกลางที่เป็นดิจิตัลเชื่อมโยงทุกห้องหรือบ้านทุกหลัง

 

ร้านค้าปลีกก็ไม่ได้ขายสินค้าเป็นชิ้นๆเท่านั้น หากแต่มีการนำเสนอที่ทำให้เห็นภาพของการใช้งานจริง ถ้าใครเคยไปเดินเลือกซื้อของตกแต่งบ้านที่ IKEA นั่นคือตัวอย่างการนำเสนอสินค้าที่แทรกอยู่ในพื้นที่จัดแสดงแบบที่เหมือนจริง แทนที่จะวางสินค้าเป็นกลุ่มๆตามประเภทให้ลูกค้าเลือกซื้อ แต่นำสินค้าแต่ละชนิดมาจัดวางรวมด้วยกันเหมือนใช้งานจริง เราจึงเห็นสินค้าแต่ละชนิดจัดวางแบบมีดีไซน์ในห้องแบบต่างๆ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องไปจินตนาการด้วยตัวเอง ถูกใจ ตรงรสนิยม ก็เลือกซื้อได้เลย

 

ร้านค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เมื่อก่อนก็จะจัดวางตามหมวดสินค้า อาทิ คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เมาส์ คีย์บอร์ด หน่วยความจำ และอื่นๆ แต่ปัจจุบันเริ่มขยับไปสู่การจัดเป็นโซลูชั่นเหมือนกับที่ IKEA ทำ โดยนำแนวคิดพื้นที่ทันสมัยในแบบ Smart X ไม่ว่าจะเป็น Smart office Smart classroom Smart café Smart hostel โดยนำอุปกรณ์ไฮเทคที่จำเป็นต่อการใช้งานเข้ามาจัดวางร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จำลองภาพให้เหมือนจริง แบบที่เรียกว่ามาถึงแล้วชี้ได้เลยว่าอยากได้ทั้งเซ็ตแบบนี้ มีทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ ระบบจัดการ และมีผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้คำแนะนำพร้อมสรรพ

 

นี่คือรูปแบบการทำธุรกิจแนวใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าขายสินค้าอะไร แต่ต้องอยู่ที่ว่าจะส่งมอบโซลูชั่นที่ทำให้ชีวิตลูกค้าสะดวกสบายง่ายขึ้นเพียงใด หยุดคิดไม่ได้ ต้องเติมความคิดใหม่ ให้มีมูลค่ามากขึ้น