“การบ้านสำคัญของภาคธุรกิจ”

“การบ้านสำคัญของภาคธุรกิจ”

ถ้าถามว่าอะไรคือแนวโน้มหลักในโลกขณะนี้ที่กำลังกระทบธุรกิจทั่วโลกอย่างสำคัญ รวมถึงธุรกิจในบ้านเรา ผมคิดว่าคำตอบที่ส่วนใหญ่คงเห็นด้วยและไม่ปฏิ

หนึ่ง แนวโน้มการเปลี่ยนของอำนาจระหว่างประเทศหรือ Power Shifts ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและธุรกิจ ออกจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกไปสู่เอเชีย ในทางการเมือง ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิทธิพลทางการเมืองของจีนในระดับสากลนับวันจะมีมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของกลุ่มตะวันตกเดิม เช่น สหรัฐและยุโรปได้ลดลง ในทางเศรษฐกิจ ความเข้มแข็งของเอเชีย ในฐานะพื้นที่ที่กำลังรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจก็กำลังบดบังความยิ่งใหญ่ของสหรัฐและยุโรปที่เคยมี ส่วนหนึ่งจากผลของวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศตะวันตกลดต่ำลงต่อเนื่อง ขณะที่เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุดในโลกติดต่อกันเกือบยี่สิบปี ทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่และอำนาจซื้อของเอเชียได้กลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และในระดับบริษัทธุรกิจ การจัดอันดับบริษัทใหญ่สุดของโลกปี2017 โดยนิตยสารฟอร์บส์ ห้าอันดับแรกมีบริษัทเอเชียติดอยู่ถึงสี่บริษัท นี่คือ การเปลี่ยนแปลงของอำนาจระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นและกระทบธุรกิจทั่วโลก

สอง คือ แนวโน้มสูงวัยของประชากรโลก อัตราส่วนของประชากรโลกอายุมากกว่า 65 ปี ได้เพิ่มสูงขึ้นตลอด อยู่ที่ประมาณ 8.5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเร่งตัวมากขึ้น เป็น 15  17 เปอร์เซ็นต์ ช่วง 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า ขณะที่อัตราส่วนของประชากรวัยเยาว์ คือ อายุต่ำกว่า 10 ปี ก็ลดลงต่อเนื่อง คนวัยหนุ่มสาวมีลูกน้อยลง ขณะที่ความก้าวหน้าด้านการแพทย์ทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าแต่ก่อน แนวโน้มดังกล่าวจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะลดลงกว่าเดิม เพราะคนในวัยทำงานมีน้อยลง รัฐเองก็จะมีภาระที่ต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุมากขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายที่กระทบฐานะการคลังและเป็นภาระทางการเงินให้กับคนรุ่นต่อไป ที่จะกระทบการใช้จ่าย การผลิต และธุรกิจของโลก

สาม คือ แนวโน้มด้านเทคโนโลยีที่ โลกสมัยนี้เป็นโลกที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเกิดขึ้นในหลายมิติ ที่จะกระทบความเป็นอยู่ของคน เช่น ด้านไอที พลังงาน วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และวิทยาศาสตร์ด้านแร่ แต่ที่พูดถึงกันมากก็คือ ด้านไอที โดยเฉพาะดิจิตอลเทคโนโลยีที่กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ การบริโภค วิธีการทำธุรกิจของบริษัท และความเป็นอยู่ของสังคม ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเทคโนโลยีไอทีสามารถลดต้นทุนและสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล ประหยัดทั้งเงินและเวลา ขณะที่ประชากรที่เป็นผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ก็ชอบ คุ้นเคย และใช้เทคโนโลยีไอทีเป็นประจำในชีวิตประจำวัน ทำให้ต้องการซื้อสินค้าและบริการที่ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีไอที ผลคือ เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ และผลกระทบก็ไม่ใช่เกิดเฉพาะบริษัท แต่กำลังเปลี่ยนแปลงหรือ transform ทั้งอุตสาหกรรม แพร่กระจายไปทั่วทุกอุตสาหกรรมแบบไฟลามทุ่ง ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัว

นี่คือ สามแนวโน้มหลักที่กระทบการทำธุรกิจทั่วโลกขณะนี้ คำถามจึงมีว่า แล้วธุรกิจควรทำอย่างไร ควรปรับตัวอย่างไร

การปรับตัวคงต้องมีแน่นอนและมาก ตัวอย่างเช่น เรื่องเทคโนโลยี ผลกระทบที่ต่อธุรกิจจะมีทั้งต่อรูปแบบการทำธุรกิจ (business model) การแข่งขัน วิธีการขาย วิธีการชำระเงิน วิธีการให้บริการลูกค้า รวมถึงเปลี่ยนหน้าตาคู่แข่งทางธุรกิจ ที่จะไม่ใช่คู่แข่งเดิม แต่จะเป็นผู้เล่นรายใหม่ ที่สามารถให้บริการลูกค้าอย่างที่บริษัททำอยู่ ในต้นทุนที่ต่ำกว่า ด้วยความรวดเร็วของการให้บริการที่เหนือกว่า และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ใช้บริการได้มากกว่า ตัวอย่างเช่น ธุรกิจธนาคารพาณิชย์กับอุตสาหกรรมฟินเทค นี่คือตัวอย่างของผลกระทบของเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจของทั้งอุตสาหกรรมได้ทำให้บริษัทต้องปรับตัว เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ด้วยเหตุนี้ นักธุรกิจจึงต้องมองการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้อย่างมีเหตุมีผล โดย หนึ่ง ต้องตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่เรื่องชั่วคราวหรือเป็นกระแสที่จะหายไปในอนาคต แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจอย่างคาดไม่ถึง ทำให้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะจะมีผลต่อความเป็นความตายของธุรกิจ

สอง บทบาทของเทคโนโลยีสามารถเป็นโอกาสต่อธุรกิจ โอกาสคือ บริษัทสามารถใช้เทคโนโลยีสร้างประโยชน์หรือมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของบริษัท นำไปสู่การสร้างมูลค่าให้กับบริษัทและการเติบโตอย่างยั่งยืน

สาม เทคโนโลยีก็สร้างความเสี่ยงต่อธุรกิจ สามารถ disrupt หรือสร้างภาวะชะงักงันให้กับธุรกิจได้ ทั้งในแง่การแข่งขัน ความปลอดภัย และความคงอยู่ของธุรกิจ โจทย์คือ นักธุรกิจต้องสามารถบริหารความเสี่ยงที่มาจากเทคโนโลยีเพื่อไม่ให้ทำลายสถานะและความเป็นตัวตนของธุรกิจที่มีอยู่ เพื่อรักษาธุรกิจให้สามารถเดินต่อได้

การมองผลกระทบของเทคโนโลยีอย่างมีเหตุมีผลจะทำให้ผู้นำธุรกิจมีหลักในการตั้งรับและหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นหน้าที่ของผู้นำธุรกิจ ซึ่งก็คือ คณะกรรมการบริษัท ที่ต้องคิดเรื่องนี้ ในมุมมองของสถาบันกรรมการบริษัทไทยหรือไอโอดี การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีจะมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสิ่งที่ผู้นำธุรกิจหรือคณะกรรมการบริษัทควรทำก็คือ

หนึ่ง ต้องศึกษาให้เข้าใจผลกระทบที่เทคโนโลยีจะมีต่อการทำธุรกิจของบริษัทในทุกมิติ เช่น ความสามารถในการแข่งขัน การให้บริการและความต้องการของลูกค้า เพื่อนำมาสู่การปรับรูปแบบการทำธุรกิจ ที่จะสามารถตั้งรับ ใช้ประโยชน์หรือตอบสนองการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัท

สอง นำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ธุรกิจ ที่รวมถึงรูปแบบการทำธุรกิจใหม่และการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อบริษัท พร้อมบริหารความเสี่ยงที่อาจมีต่อธุรกิจของบริษัทได้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้

สาม ความสำเร็จของการทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นได้ก็จากความเข้าใจร่วมกันในยุทธศาสตร์ใหม่ระหว่างคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหารและพนักงาน ที่ต้องเดินไปด้วยกันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมใจกันสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีทักษะและความใฝ่รู้ด้านเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เพื่อนำบริษัทภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ไปสู่ความสำเร็จ

นี่คือ แนวโน้มที่กำลังกระทบธุรกิจทั่วโลก เป็นการบ้านที่ต้องทำ เพื่อให้บริษัทธุรกิจสามารถมีที่ยืนและแข่งขันต่อไปได้ในเวทีโลก