ฝันกลางวันเห็นทรัมป์ นัดเจอคิมที่ไหนสักแห่ง!
ยังไม่มีการยืนยันว่าแผ่นดินไหวขนาด 3.5 เมื่อวันก่อนที่เกาหลีเหนือใกล้กับจุดที่เคยทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 3 กันยายนนั้น
เป็นเหตุธรรมชาติหรือเพราะเปียงยางทดลองอะไรใหม่หรือไม่
แต่ที่แน่ ๆ คือรัฐมนตรีต่างประเทศโสมแดงได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันว่ารัฐบาลของคิมจองอึนกำลังพิจารณาจะทดลองระเบิดไฮโดรเจนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกในอนาคตอันใกล้
จะเรียกว่าขู่หรือเตือนสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ก็ได้ทั้งนั้น เพราะมาถึงจุดนี้การท้าทายและยั่วยุกันและกันระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือได้กลายเป็นเรื่องประจำวันเสียแล้ว
ที่ว่าเป็นเรื่อง “ประจำวัน” ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องกังวลหรือเป็นแค่สงครามน้ำลาย เพราะการยั่วยุระหว่างกันของทั้งสองฝ่ายนั้นมีการเล่นอาวุธจริงมาประกอบฉากอย่างน่าหวาดเสียวอีกด้วย
วันเสาร์ที่ผ่านมา สหรัฐส่งบี-1 บีแลนเซอร์ จากฐานทัพบนเกาะกวม และเครื่องบินรบ เอฟ-15 ซีอีเกิลจากโอกินาวาของญี่ปุ่นไปฉวัดเฉวียนป้วนเปี้ยนอยู่นอกชายฝั่งเกาหลีเหนือ
นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งแต่แรกที่สหรัฐทำอย่างนั้น เคยมีปฏิบัติการทำนองนี้มาหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้วเพราะสหรัฐฯและประชาคมโลกต้องการควบคุมโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือให้ได้
แต่รอบนี้กระทรวงกลาโหมมะกันย้ำว่าเป็นการบินไปเหนือเขตปลอดทหารระหว่างสองชาติเกาหลีได้ไกลที่สุดถึงนอกฝั่งเกาหลีเหนือ เท่าที่เครื่องบินรบหรือเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐเคยทำได้ในศตวรรษนี้
มิหนำซ้ำยังมีการสำทับเป็นลายลักษณ์อักษรจากโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐว่า
“ปฏิบัติการครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงการแก้ปัญหาของสหรัฐและส่งสารอย่างชัดเจนว่าท่านประธานาธิบดีมีทางเลือกทางทหารหลายอย่างในอันที่จะกำราบภัยคุกคามทุกชนิด”
ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากจะตอกย้ำว่าทรัมป์ได้สั่งการให้นายทหารสหรัฐในทุกระดับชั้นเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการที่อาจจะต้องใช้หากเกาหลีเหนือทดลองขีปนาวุธหรืออาวุธนิวเคลียร์อีกรอบหนึ่ง
เพราะหากคิมน้อยสั่งทดลองอาวุธรอบใหม่และสหรัฐฯยังทำได้แต่เพียงออกคำประนามหรือเรียกประชุมวาระพิเศษของคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อเสนอมาตรการคว่ำบาตรใหม่ก็จะเกิดภาพว่าทรัมป์ “ไม่มีน้ำยา” ซึ่งจะทำให้การต่อรองในอนาคตทำได้ยากขึ้นไปอีก
ผมจึงวาดภาพว่าหากคิมเดินหน้าทดลองขีปนาวุธอีก หรือไปถึงขั้นทดลองระเบิดไฮโดรเจนในมหาสมุทรแปซิฟิกตามที่ได้ขู่เอาไว้, อเมริกาก็ต้องยิงจรวดขึ้นสกัดกลางหาวอย่างปฏิเสธไม่ได้
เพราะเท่ากับคิมบังคับให้ทรัมป์ต้องทำอะไรบางอย่างทางทหาร
แต่หากทรัมป์เล่นหนักกว่านั้น ก็คือเลือกถล่มบางจุดของเกาหลีเหนือเพื่อตัดโอกาสที่คิมน้อยจะสามารถทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 ให้ได้ นั่นก็คือการเปิดศึกสงครามแล้วอย่างชัดเจนเช่นกัน
วันนี้เราจึงตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมไม่น้อย เพราะความพยายามทางการทูตเท่าที่ผ่านมาทั้งที่เปิดเผยที่และเป็นไปทางลับยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ
ข้อเสนอของจีนและรัสเซียให้เข้าสู่กระบวนการ “double freeze” คือการให้“แช่แข็ง” ความเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายเพื่อนำไปสู่โต๊ะเจรจาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดผลแต่อย่างใด
ผมคิดถึงภาพประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันบินไปปักกิ่งเพื่อจับมือกับประธานเหมาเจ๋อตุงของจีนเมื่อปี 1972 แล้วก็ถามตัวเองว่าเรื่อง “ช็อคโลก” อย่างนี้สามารถเกิดในปี 2017 ได้หรือไม่?
จะเห็นภาพทรัมป์บินไปจับมือคิมที่เปียงยาง
หรือสองคนนัดเจอกันที่เกาหลีใต้
หรือสีจิ้นผิงนัดสองคนนี้มาจิบชาที่ริมทะเลสาปสวย ๆ ของจีนสักแห่ง?
ผมอาจแค่ฝันกลางวัน แต่หากไมเกิดอะไรที่ “ผิดคาด” อย่างนี้ เราจะหาเส้นทางที่เลี้ยวออกจากสงครามได้อย่างไรยังน่าสงสัยอยู่