New Normal ของการลงทุน

New Normal ของการลงทุน

New Normal ของการลงทุน

คำว่า “New Normal” นั้น เริ่มมีการใช้กันอย่างแพร่หลายน่าจะหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจอเมริกาในปี 2008 ที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงมากที่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจลดต่ำลงมากและดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถกลับมาเติบโตเหมือนเดิมได้อีกต่อไป กูรูทั้งหลายเชื่อว่า “ตัวเลขใหม่” ที่ดู “ผิดปกติมาก” เมื่อเทียบกับตัวเลขที่เคยเป็นนั้นจะกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” และจะเป็น “ตัวเลขปกติ” ที่จะดำเนินต่อไปในวันข้างหน้า หลังจากนั้น คำว่า New Normal ก็ถูกนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ อีกมาก เหตุผลคงเป็นเพราะว่าในระยะหลัง ๆ นี้ โลกได้เปลี่ยนแปลงไปเร็วและมาก สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ “ทำลาย” สิ่งเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคย สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมากไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวอีกต่อไป ดังนั้น ในฐานะนักลงทุน เราจะต้องตระหนักตลอดเวลามิฉะนั้นเราอาจจะหลงคิดว่า “สิ่งที่เลวร้ายเดี๋ยวก็จะผ่านไป” คำพูดคลาสสิกของเบน เกรแฮมที่ว่า “This too shall past” อาจจะใช้ไม่ได้อีกแล้วในหลาย ๆ เรื่อง มาดูกันว่ามีอะไรที่จะเป็น New Normal ในตลาดหุ้นและการลงทุนของนักลงทุนไทย

เรื่องแรกก็คือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้จะดูดีขึ้นมากในรอบน่าจะหลายปี แต่ก็น่าจะเป็นการเติบโตจากอัตรา 3% ต้น ๆ เป็น 3% ปลาย ๆ เป็นอย่างมาก และผมคิดว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตกลับมาเกิน 4% ต่อปีเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องคิดถึงอัตรา 5% หรือ 7% ที่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นเก่า ๆ เคยคุ้นเคยและคิดว่ามันเป็นอัตราการเติบโตตาม “ธรรมชาติ” หรืออัตราเติบโตตามปกติของไทยมายาวนาน เหตุผลก็เพราะว่าคนไทยแก่ตัวลงและขาดแคลนแรงงานซึ่งทำให้ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือกำลังแรงงานที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากนัก ผมคิดว่า New Normal ของการเติบโตของไทยน่าจะอยู่ที่ 3-4% ก็หรูแล้ว และนี่อาจจะทำให้ไทยไม่ใช่เศรษฐกิจที่ “โตเร็ว” อีกต่อไป

การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเองนั้น ผมก็คิดว่าคงจะช้าลงตามเศรษฐกิจ ในสมัยก่อนนั้น การเติบโตของรายได้และ/หรือกำไร ที่ต่ำกว่า 10% นั้นถูกถือว่า “โตช้า” บริษัทเหล่านั้นก็จะไม่ค่อยมีใครสนใจลงทุนแม้ว่าเศรษฐกิจเองก็โตแค่ 5-6% ประเด็นก็คือ ในยุคก่อนนั้น บริษัทจดทะเบียนมักจะถูกมองว่าต้องโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ แต่ถ้าบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นมีขนาดใหญ่มากจนเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจได้อย่างปัจจุบัน ตามหลักการแล้ว บริษัทจดทะเบียนก็ไม่น่าจะโตกว่าการโตของเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อ และด้วยหลักการนี้ ในระยะยาวแล้ว การเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมก็ไม่น่าจะโตไปกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อได้ ดังนั้น ในความเห็นของผมก็คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะเป็น New Normal ก็คือ น่าจะโตประมาณ 5-10% ต่อปี โดยที่บริษัทที่ “โตเร็ว” นั้น น่าจะโตแค่หลัก 10% บวกลบ ในขณะที่บริษัทที่โตปกตินั้นน่าจะอยู่ที่ 5% บวกลบ บริษัทที่โตเร็วมากนั้นอาจจะได้ถึง 15% บวกลบ ที่จะโตมากกว่านั้นน่าจะเป็นเฉพาะบริษัทที่เพิ่งเริ่มและยังเล็กมากเท่านั้น

ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยที่ผ่านมาในอดีต 42 ปี อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น นั่นก็เป็นผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมน่าจะระดับต้น ๆ ของโลก และก็น่าจะเกิดขึ้นเพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงเดียวกันก็เติบโตดีในระดับต้น ๆ ของโลกเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยโตช้าลงมากในอนาคต ตลาดหุ้นก็น่าจะโตหรือให้ผลตอบแทนต่อปีน้อยลง ในความคิดผม ตลาดหุ้นไทยน่าจะมี New Normal นั่นก็คือในอนาคตน่าจะให้ผลตอบแทนตามการเติบโตทางเศรษฐกิจบวกเงินเฟ้อที่ต่ำ ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นน่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 7-8% โดยตัวเลขที่ผมคิดว่าปลอดภัยก็คือ 5% ต่อปีในระยะยาว

New Normal ของการลงทุนที่ผมคิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นตามมาจากเรื่องของการโตช้าลงของตลาดหุ้นไทยก็คือ การลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย ปรากฏการณ์ในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อยกว่าต่างก็สนใจและเริ่มลงทุนในต่างประเทศทั้งในตลาดพัฒนาแล้วอย่างอเมริกาและตลาดกำลังพัฒนาอย่างเวียตนาม แม้แต่นักลงทุนสูงวัยและมีเงินมากกว่าต่างก็ลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนรวมทั้งที่เป็นพันธบัตรและหุ้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การลงทุนในต่างประเทศจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับบางคนอีกต่อไป

เช่นเดียวกับเรื่องของการลงทุนในต่างประเทศ การลงทุนที่อาศัย Robot หรือหุ่นยนต์ก็อาจจะกำลังกลายเป็น New Normal ด้วย เหตุผลก็คือ มันมีความสามารถและประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ จริงอยู่ การให้หุ่นยนต์ทำเองทุกอย่างโดยอัตโนมัตินั้น ยังคงมีน้อยในตลาดหุ้นไทย แต่ผมคิดว่าการใช้ Robot ช่วยในการลงทุนอาจจะเป็นเรื่องปกติขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ ต้นทุนของการใช้นั้นต่ำลงมาก และในหลาย ๆ สถานการณ์ การใช้ Robot ก็อาจจะทำได้ดีกว่าคน

คุณภาพหรือความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมและบริษัทจดทะเบียนในระยะหลัง ๆ นี้ผมก็คิดว่ามี New Normal อยู่ไม่น้อยและเราจะต้องตระหนัก มิฉะนั้นแล้วเราก็อาจจะวิเคราะห์ตามความคิดและความเชื่อเดิมซึ่งอาจจะทำให้ผิดพลาดได้ เหตุผลก็เพราะว่าเทคโนโลยีดิจิตอลพัฒนาขึ้นมาเร็วจนถึงจุดที่มันสามารถ Disrupt หรือทำลายวิธีการเดิม ๆ อย่างรวดเร็วและทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ในธุรกิจสื่อเช่นทีวีนั้น Old Normal หรือแนวความคิดเดิมก็คือมันเป็นธุรกิจที่ดีมาก ดังนั้น บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะได้กำไรมากและมีค่า PE สูงมาก แต่ New Normal อาจจะเป็นว่า ธุรกิจทีวีไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเยี่ยมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น กำไรก็อาจจะไม่สูงและค่า PE ของหุ้นก็อาจจะไม่สามารถสูงได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเป็นช่องทีวีที่ประสบความสำเร็จ

เรื่องของการใช้ชีวิตหรือการใช้เงินของคนไทยเองนั้น ผมคิดว่าก็มี New Normal เกิดขึ้นมากและอาจจะส่งผลต่อการวิเคราะห์ในเรื่องของการลงทุน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือเรื่องของการใช้เวลาซึ่งผมคิดว่าคนไทยใช้เวลาเพิ่มกับการ “ดูหน้าจอแบบเคลื่อนที่” มากขึ้นมาก ซึ่งก็มักจะตามมาด้วยการทำกิจกรรมต่อเนื่องเช่น การสั่งสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ และเรียกรถรับจ้าง เป็นต้น ผลกระทบตรง ๆ ก็คือการที่คนดูทีวีและอ่านหนังสือเล่มน้อยลงมาก ส่วนผลกระทบทางอ้อมนั้นก็มีมหาศาล น่าเสียใจที่คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ บริษัทต่างชาติที่ให้บริการดูหน้าจอและขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต ส่วนคนที่เสียประโยชน์มากก็คือบริษัทท้องถิ่นไทยที่ถูกแย่งลูกค้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

มีเรื่องราวอีกมากมายที่เริ่มจะเกิดขึ้นแล้วในสังคมของประเทศที่พัฒนาสูงและผมเชื่อว่าในที่สุดมันก็จะมาถึงประเทศไทย ตัวอย่างเช่น การใช้รถไฟฟ้าแทนรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ประเด็นเหล่านี้เราจะต้องพิจารณาว่า “เมื่อไร” และใช้เวลานานแค่ไหนที่มันจะกลายเป็น New Normal ในสังคมหรือตลาดไทย ถ้าเราจะลงทุนหรือเลิกลงทุนขายหุ้นที่เกี่ยวข้องทิ้งเราจะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ประเด็นที่ผมต้องเตือนก็คือ อย่าไปคิดว่า “เมืองไทยหรือคนไทยไม่เหมือนคนอื่น” โลกในสมัยนี้เป็นหนึ่งเดียว เราอาจจะไม่เหมือนหรือไม่พยายามเหมือนหรือทำแบบคนอื่นได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ในระยะยาวแล้ว เป็นไปไม่ได้ New Normal ก็คือ คนในโลกจะมีวิถีชีวิตและพฤติกรรมเหมือนกันทุกประเทศตามฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน