ใครผูกเงื่อน คนนั้นต้องถอดเอง

ใครผูกเงื่อน  คนนั้นต้องถอดเอง

มองจากมุมของจีน วิกฤตเกาหลีเหนือเป็นเรื่องระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือ ดังนั้นอย่าได้ชี้นิ้วมาที่ปักกิ่งเพราะนั่นย่อมไม่ใช่ทางแก้ปัญหา

“กุญแจของการแก้วิกฤตเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่จีน...โปรดทราบ”

นั่นคือจุดยืนทางการของจีนที่ประกาศผ่านโฆษกกระทรวงต่างประเทศอย่างชัดแจ้งเป็นครั้งแรก

เท่ากับเป็นโยนลูกกลับไปที่วอชิงตันและเปียงยางให้หาทางลงจากสถานการณ์แห่งความตึงเครียดอันไม่พึงประสงค์เอง อย่าได้ไปโทษใครที่ไหนเลย

ที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนต้องออกมาประกาศเรื่องนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเร็กซ์ ทิลเลอร์สันของสหรัฐฯออกมาจี้จีนอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่โสมแดงทดลองขีปนาวุธรอบล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างท้าทายและไม่ฟังเสียงเตือนจากใครทั้งสิ้น

ทิลเลอร์สันย้ำว่าปักกิ่งจะต้องใช้ “เครื่องมืออันทรงพลัง” ของจีนในการกดดันเกาหลีเหนือให้เป็นรูปธรรมเสียที

เครื่องมือที่ว่านี้คือน้ำมัน

วอชิงตันเชื่อว่าถ้าปักกิ่งหยุดส่งน้ำมันให้เปียงยางอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เกาหลีเหนือก็ไม่สามารถจะเดินหน้าทดลองขีปนาวุธและพัฒนานิวเคลียร์ต่ออย่างแน่นอน

นั่นย่อมแปลว่าอเมริกายังสงสัยลึก ๆ ว่าจีนยังแอบส่งปัจจัยทางยุทธศาสตร์ให้กับเกาหลีเหนือ ซึ่งทำให้คิมจองอึนมีความเหิมเกริมอย่างต่อเนื่อง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนยืนยันว่าจีนได้ทำทุกอย่างเป็นไปตามกติกาสากลแล้วในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ

จีนยืนยันว่าเป็นผู้เสียสละในเรื่องนี้ ยอมทำอะไรที่มีผลกระทบต่อตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็พร้อมจะร่วมมือกับประชาคมโลกเพื่อแก้วิกฤตคาบสมุทรเกาหลี

แต่ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จนั้นจีนชี้นิ้วกลับไปที่สองคู่กรณีนั่นคือมะกันและโสมแดงที่ยังยั่วยุซึ่งกันและกันอย่างไม่ลดละ อีกทังยังไม่ฟังข้อเสนอแนะของจีนให้ “แช่แข็ง” ทั้งสองด้านเพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจากันอย่างสันติ

ข้อเสนอ “แช่แข็งทั้งสองฝั่ง” นั่นหมายถึงการที่สหรัฐหยุดการซ้อมรบกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นในคาบสมุทรเกาหลี และเกาหลีเหนือระงับการทดลองขีปนาวุธ

รัสเซียจับมือกับจีนในการนำเสนอทางออกแนวนี้ แต่อเมริกากับเกาหลีเหนือก็ไม่สนใจ ทำให้จีนตกอยู่ในฐานะกระอักกระอ่วนเพราะจะกดดันคิมน้อยมากเกินไปก็เสี่ยงกับการล่มสลายของเกาหลีเหนือ แต่หากไม่เดินตามอเมริกาเลยก็จะถูกมองว่าส่งเสริมประเทศที่ละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคง

การทดลองขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือยิงได้ไกลถึง 3,700 กม. และสูงถึง 770 กม. ลอยอยู่ในท้องฟ้าถึง 19 นาที

ยิ่งเมื่อขีปนาวุธครั้งล่าสุดนี้วิ่งผ่านทางเหนือของญี่ปุ่นอีกครั้งก็ยิ่งทำให้เกิดความหวั่นไหวสำหรับคนญี่ปุ่นไม่น้อยเพราะเห็นได้ชัดว่าภัยคุกคามจากเพื่อนบ้านที่มีอาวุธพลังทำลายล้างสูงกว่าระเบิดปรมาณูสมัยสงครามโลกครั้งที่สองหลายเท่านั้นกำลังจะกลายเป็นความจริงได้หากไม่เกิดการเจรจาอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้นี้

ครั้นจะรอให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มาเยือนจีนในเดือนพฤศจิกายนนี้ค่อยหาทางลงจากหลังเสือคงจะเป็นการรอคอยที่ยาวนานเกินไป สถานการณ์อาจจะเสื่อมโทรมเกินการแก้ไขได้

จีนยืนยันว่าไม่ควรที่จะมีใคร “สงสัยในความพยายามและความจริงใจของเราในเรื่องนี้”

เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าไม่ว่าใครจะพูดอะไรอย่างไรก็ตาม ปักกิ่งขอย้ำว่ากุญแจที่จะแก้ไขวิกฤตคาบสมุทรเกาหลีไม่ได้อยู่ในมือของปักกิ่ง

จึงต้องหันไปถามทรัมป์กับคิมว่าใครเป็นคนโยนกุญแจทิ้งลงน้ำหรืออย่างไรจึงไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำในอันที่จะไขประตูหาทางออกจากความตึงเครียดที่กำลังสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้!