No Fault ในความหมายทางการแพทย์
อ่านบทความของดร.เฉลิมพล ไวทยางกูรเรื่อง No Fault ในทางการแพทย์แล้ว(1) ผู้เขียนขอแสดงความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดความเสียหายในทางการแพทย์นั้น
อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ได้เป็นความผิดของแพทย์ผู้ทำการรักษา กล่าวคือ ฝ่ายผู้รักษาไม่ได้ทำผิด แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากภายในร่างกายของผู้ป่วยที่มีปฏิกริยาตอบสนองต่อการรักษาผิดจากบุคคลทั่วไป หรือเป็นอาการรุนแรงที่เกิดตามมาหลังจากเกิดโรคอื่น และมีความเสียหายเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือผู้ไปรับการรักษาได้ ในกรณีดังต่อไปนี้คือ
- Adverse drug reaction คือการที่ร่างกายของผู้ป่วยมีปฏิกริยาตอบสนองต่อการได้รับยาที่ไม่เหมือนผู้อื่น ซึ่งอาจเรียกว่าแพ้ยา ปฏิกิยาภูมิไวเกิน (Hypersensitivity) ซึ่งปฏิกริยาจากการแพ้ยานี้ อาจเรียกว่า "อาการอันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากยา" ซึ่งอาการเหล่านี้ อาจจะมีอาการเล็กน้อย เช่นเป็นผื่นคันที่ผิวหนัง ไปจนถึงอาการรุนแรงทั้งร่างกายเช่น กรณีที่เรียกว่า Steven Johnson's Syndrome " ที่ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นทั่วตัวแล้วยังทำให้ตาบอดได้ หรือมีอาการแพ้รุนแรง ทำให้หลอดลมบวม หายใจไม่ออกจนถึงกับเสียชีวิต เรียกว่าเกิด Anaphylactic Shock ซึ่งการแพ้ยานี้ แพทย์จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้น โดยการถามประวัติการแพ้ยา หรือประหวัดการแพ้อาหาร รวมทั้งประวัติภูมิแพ้อื่นๆของผู้ป่วยและครอบครัวก่อนจะให้ยาทุกครั้ง แต่ถึงแม้จะไม่มีประวัติการแพ้ยามาก่อน ผู้ป่วยก็อาจจะแพ้ยาตัวนี้ได้เช่นเดียวกัน
- Complications หรือโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากอาการป่วยด้วยโรคหนึ่งต่อมามีอาการของอีกอวัยวะอื่นภายหลัง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากความรุนแรงของโรคเอง หรืออาจเกิดจากการรักษาของแพทย์ ซึ่งในทางการแพทย์แล้ว โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ มักจะมีการเขียนไว้ในตำราทางการแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ระมัดระวังและป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับผู้ป่วยของตน แต่โรคแทรกซ้อนบางอย่างก็อาจเกิดขึ้นได้ แม้แพทย์จะได้ใช้ความระมัดระวังอย่าง "สุดความสามารถ"แล้วก็ตาม ซึ่งในทางการแพทย์มักจะอธิบายว่าเป็นเหตุ "สุดวิสัย" ที่แพทย์จะรักษาหรือยื้อชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ ตัวอย่างของโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ได้แก่ "ภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต" – septicemia ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อในที่ใดที่หนึ่งของร่างกาย เช่น ปอดอักเสบหรือการอักเสบของข้อสะโพกในเด็กอาจมีผลให้เกิดความพิการจากการที่หัวกระดูกต้นขา (femoral head)ถูกทำลายจากการอักเสบ หรือการอักเสบของวัณโรคปอดทำให้เกิดวัณโรคของเยื่อหุ้มสมอง หรือการขาดน้ำอย่างรุนแรงจากอาการท้องเสียทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน หรืออาการป่วยตับอักเสบอย่างรุนแรงทำให้เกิดภาวะความผิดปกติทางสมอง หรือภาวะที่มีน้ำคร่ำหลุดเข้าไปในกระแสเลือดทำให้แม่ที่มาคลอดลูกตายจากภาวะที่หลอดเลือดที่ปอดอุดตัน (pulmonary embolism) หรือในกรณีที่หลังการผ่าตัดช่องท้องแล้วพบว่าเกิดลำไสส้อุดตันเนื่องจากในช่องท้องผู้ป่วยเกิดพังผืดมากมาย โดยอวัยวะในตัวผู้ป่วยเองมีการซ่อมแซมบาดแผลแต่เกิดพังผืดมากผิดปกติ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นแม้แพทย์จะได้ทำการรักษาผู้ป่วยอย่างระมัดระวังเต็มที่แล้ว หรืออาจจะเกิดจากความประมาทเลินเล่อของทีมแพทย์/พยาบาลผู้ทำการรักษาก็ได้ ฉะนั้นเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพิสูจน์ถุก-ผิดเสมอ เพื่อจะได้รู้ว่ามีจุดบกพร่องใดๆเกิดขึ้นจากการรักษาหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ชดใช้ไปตามระบบ No Fault ถ้ามีความบกพร่อง ก็ต้องพิสูจน์ว่า เป็นความประมาทเลินเล่อหรือไม่ถ้าประมาท เลินเล่อก็ต้องดูว่าประมาทเลินเล่ออย่างอย่างร้ายแรงหรือไม่ หรือละทิ้งไม่ทำตามหน้าที่หรือไม่
- Underlying diseases หรือโรคที่ผู้ป่วยมีซ่อนเร้นอยู่แต่ยังไม่แสดงอาการหรือยังไม่เคยตรวจพบ แต่มาแสดงอาการเมื่อเป็นโรคอื่นแล้ว เช่น
3.1 การปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจาการมีเนื้องอกในสมอง หรืออาจเกิดจากการปวดหัวที่ไม่มีสาเหตุทางกายภาพ เช่น Migraine หรือมีสายตาผิดปกติ
3.2 มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (เบาหวาน) แต่ไม่มีอาการ แต่มาพบแพทย์เมื่อมีการของผิวหนังอักเสบเป็นหนอง (sepsis)
3.3 การมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการป่วยบางอย่างหรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต หรือเกิดการอักเสบจากเชื้อรา
3.4 ภาวะตับอักเสบเรื้อรังนำไปสู่การเป็นตับแข็งหรือมะร็งตับ
3.5 ในกรณีที่เด็กมีไข้และชักอาจเกิดจาการชักจากไข้สูงธรรมดา หรือเกิดอาการชักจากสมองอักเสบหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบก็ได้
ดังนี้ เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อผู้ป่วยมาด้วยอาการอย่างหนึ่ง แต่อาจเกิดจากภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลเสียหายรุนแรงกว่าที่ผู้ป่วยหรือญาติคาดการณ์ไว้ก็ได้ ฉะนั้นการเกิดความเสียหายแก่ผู้ป่วย จะไม่สามารถละเว้นการพิสูจน์ถูก/ผิดได้ เพื่อจะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดความเสียหาย และนำไปแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
- Sequelae หรือ อาการเจ็บป่วยที่เกิดตามหลังโรคหรืออาการเจ็บป่วยอื่น เช่น
4.1ภาวะสมองขาดเลือดอย่างฉับพลัน (stroke) ทำให้เกิดภาวะแขนขาอ่อนแรง ที่เรียกว่าอัมพาต
4.2 ภาวะเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมให้เหมาะสมก็จะเกิดภาวะไตวาย
4.3 การท้องผูกเรื้อรังก็อาจจะเกิดจากการอุดตันของลำไส้
4.4การที่แขนขาอ่อนแรงทั้งหมดเคลื่อนไหวไม่ได้เลยก็เกิดตามหลังกระดูกสันหลังส่วนคอหักจากการบาดเจ็บ (cervical cord injury)
4.5 การมีก้อนเนื้องอกกดทับไขสันหลัง ทำให้ขาสองข้างเป็นอัมพาต (paraplegia)
4.6 ภาวะสมองอักเสบ (encephalitis) ทำให้พูดไม่ได้ (Aphasia) ดังนี้เป็นต้น
- ประวัติการเจ็บป่วยไม่ชัดเจน เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้สังเกตหรือจดจำอาการเจ็บป่วยในอดีตหรือปัจจุบัน หรือเกิดจากการที่ผู้ป่วยปกปิดความจริงจากการเจ็บป่วย เนื่องจากไม่ต้องการบอกข้อมูล(ที่ผู้ป่วยคิดว่าเป็นความลับส่วนตัวของตน)แต่ไม่ทราบว่าข้อมูลนั้นเองอาจเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับการเจ็บป่วยในขณะนี้ และเมื่อแพทย์ไม่ทราบก็อาจจะทำให้ไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องจนอาจทำให้การรักษานั้นไม่เป็นผลดีก็ได้
- ความเสียหายที่เกิดจากระบบบริการทางการแพทย์ ซึ่งเราต้องยอมรับว่าระบบการจัดบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขของประเทศไทยนั้น มีความบกพร่องและไม่สมบูรณ์แบบอยู่มาก เช่น การขาดแคลนบุคลากร แต่มีจำนวนผู้ป่วยมาก การขาดแคลนพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้ตามมาตรฐานของผู้เชี่ยวชาญ การขาดงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์(ต้องอาศัยพี่ตูนบอดี้แสลม วิ่งการกุศลหาเงินมาซื้อเครื่องมือได้บ้าง แต่ยังขาดอีกเยอะ)
การฟ้องร้องแพทย์หรือบางคนเรียกว่า "ข้อพิพาทระหว่างแพทย์และผู้ป่วย" นั้นแตกต่างจากข้อพิพาทอื่นอย่างไร?
จากการอ่านบทความของดร.เฉลิมพล ไวทยางกูร ที่เขียนว่า " คำว่า No-Fault จึงอาจมีความหมายว่า ไม่ได้ทำผิด หรือไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่สำหรับประเทศไทยน่าจะเป็นว่า ไม่ถือว่าเป็นความผิด มากกว่า เพราะแท้จริงแล้วการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นความผิดไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่ต้องมีการพิสูจน์และไม่ต้องรับโทษในชั้นนี้ เพราะไม่ถือว่าเป็นความผิด" ในทางการแพทย์จึงไม่เป็นความจริงในกรณีข้อพิพาทระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ตามเหตุผลที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า "ความเสียหายที่เกิดจากการไปรับการรักษาจากแพทย์นั้น อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยที่แพทย์ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดได้ใน 6 กรณีดังกล่าวแล้ว ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างในอีกหลายสิบหลายร้อยตัวอย่างซึ่งไม่สามารถยกมากล่าวได้หมดในที่นี้
ส่วนการที่ดร.เฉลิมพลเขียนไว้ว่า " เมื่อมาพิจารณาเรื่องทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ถ้าจะเอาคำว่า No-Fault มาใช้ก็น่าจะมีความหมายเดียวกันคือ
หนึ่ง...มีการกระทำ ซึ่งจะเป็นไม่เจตนา หรือประมาทเลินเล่อ ก็แล้วแต่
สอง...การกระทำนั้นเป็นความผิด และ
สาม...แต่กฎหมายให้ถือว่าไม่เป็นความผิด..ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเว้น
แต่ถ้าเป็นเจตนา ก็เท่ากับเป็นเรื่องทุรเวช และไม่เข้าลักษณะ No-Fault แน่นอน"
จึงไม่น่าจะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงในเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ เพราะคำว่าทุรเวชปฏิบัติหรือ Medical Malpractice นั้นมีความหมายว่า แพทย์ได้ทำการรักษาผู้ป่วย "ในระดับต่ำกว่ามาตรฐาน"
แล้วจะตัดสินอย่างไรว่า "การรักษาผู้ป่วยในขณะนั้นมีมาตรฐานหรือไม่?" การที่เราจะเอามาตรฐานการแพทย์มาตัดสินการรักษาผู้ป่วย ก็ต้องเอามาตรฐานของแพทย์ในสภาพการณ์เช่นเดียวกัน รวมกับมาตรฐานของโรงพยาบาลในระดับเดียวกันมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินมาตรฐานในการรักษา เช่น ในกรณีของแพทย์ทั่วไปที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา (ยังขาดความเชี่ยวชาญหรือชำนาญการ)ที่รักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลชุมชนที่ (ขาดแคลนเครื่องมือ เทคโนโลยี เอ๊กซเรย์ อัลตร้าซาวน์ ซีทีสแกน หรือ MRI ขาดแพทย์ผ่าตัด แพทย์ระงับความรู้สึก) มาเปรียบเทียบกับการรักษาผู้ป่วยแบบเดียวกันในโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์(มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) และมีเครื่องมือ เทคโนโลยี เวชภัณฑ์ และผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เอามาเปรียบเทียบเป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ได้
ความสัมพันธ์ ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยแตกต่างจากความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมทั่วไป
ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย นั้นไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบ "เสมอกัน" เนื่องจากแพทย์นั้นมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะ และการฝึกฝนมามากกว่าผู้ป่วย แพทย์จึงเป็นผู้ "แนะนำหรือออกคำสั่ง" ในการรักษาที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามจึงจะเกิดผลดีในการรักษาความเจ็บป่วย ฉะนั้นผู้เป็นแพทย์จึงต้องเป็น "ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจ หรือความเชื่อถือ ศรัทธา"จากผู้ป่วยหรือประชาชน เขาจึงจะทำตามคำสั่งหรือคำแนะนำของแพทย์
การที่แพทย์จะได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยนั้น แพทย์จึงต้อง "ทำหน้าที่ของแพทย์" โดยต้องยึดหลัก "จริยธรรมทางการแพทย์" ในการทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด จริยธรรมเหล่านี้ มีความหมายรวมถึง
- มีเป้าหมายให้เกิดผลดีที่สุดต่อผู้ป่วยของตน ที่ตนกำลังทำการรักษา
- ต้องหลีกเลี่ยงจากการมีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ตัวอย่างผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น เลือกใช้ยา ก.ที่ไม่ให้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยของตน แต่เลือกใช้ยาข.ที่อาจมีผลดีไม่เหมือนยาก. เนื่องจากพราะบริษัทที่ขายยาข. ให้ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากการสั่งยาข.
- รักษาความลับของผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด
- ทำงานโดยรักษาหลักในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และความเชี่ยวชาญด้านคลินิกอย่างเคร่งครัด
ซึ่งทั้ง 4 ข้อนี้นับเป็นหลักจริยธรรมที่แพทย์ทั่วโลกต้องยึดถือและปฏิบัติตาม ในส่วนของแพทย์ในประเทศไทยนั้น ทางการได้จัดให้มี "แพทยสภา" เป็นสภาวิชาชีพ ที่ตั้งขึ้นตามพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมพ.ศ. 2525 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในมาตรา 7(1) คือควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) ให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม โดยในหมวด 5 ของพ.ร.บ.ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมอยู่จากมาตรา 26-31
โดยมาตรา 31 ได้กำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (แพทย์) ต้องรักษาจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามข้อบังคับของแพทยสภา ซึ่งแพทยสภาได้ออก "ข้อบังคับ"แพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 มากมายหลายหมวดหลายข้อ
และมาตรา 32 ได้ให้สิทธิแก่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายเพราะการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม(แพทย์) ผู้ใด มีสิทธิกล่าวหาผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมกโยทำเรื่องยื่นต่อแพทยสภา
มาตรา 39 คณะกรรมการแพทยสภามีสิทธิวินิจฉัยชี้ขาดและลงโทษแพทย์ที่กระทำผิดได้ 4 ระดับ ตั้งแต่ยกข้อกล่าวหา ว่ากล่าวตักเตือน ภาคฑัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต (ห้ามทำงานรักษาผู้ป่วย เรียกว่าจำคุกความเป็นแพทย์) มีกำหนดไม่เกินสองปี และขั้นรุนแรงที่สุดคือ เพิกถอนใบอนุญาต (ห้ามทำงานรักษาผู้ป่วยตลอดไป เรียกว่าประหารชีวิตความเป็นแพทย์)
แต่การทำงานของกรรมการแพทยสภานั้นอาจ ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการไปรับการรักษาผู้ป่วย ไม่พอใจได้ในหลายกรณี ดังเช่น การแพ้ยาจนตาบอด เกิดจาก อาการอันไม่พีงประสงค์จากการใช้ยา เช่นในกรณี Steven-Johnson's Syndrome โดยแพทยสภาได้ตัดสินว่าเป็น "เหตุสุดวิสัย" เนื่องจากผู้ป่วยไม่มีประวัติแพ้ยามาก่อน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผลของการแพ้ยาจนทำให้เกิดความพิการนี้ นี่คือกรณีความเสียหายที่ไม่มี (แพทย์)ผู้ใดทำผิด ซึงในไทยมีกฎหมายให้เงินช่วยเหลือใน 2 กรณีคือ ถ้าเป็นผู้ป่วยในระบบประกันสังคม และผู้ป่วยในระบบ 30 บาท โดย ผู้ป่วยก็จะได้รับการช่วยเหลือในความเสียหายนี้จากมาตรา 41 ของพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 ซึ่งจะมีการช่วยเหลือเบื้องต้นให้เป็นเงินสูงสุด 2 ล้านบาท
ผู้เขียนจึงขอสรุปว่า ความเสียหายของผู้ป่วยที่ไปรับการรักษาจากแพทย์/โรงพยาบาลต่างๆนั้น มีหลายกรณีที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เกิดจาก "ความผิดพลาดของแพทย์" ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น แต่ความเสียหายนี้ มีกฎหมายช่วยเหลือแล้วในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและระบบประกันสังคม โดยอาศัยหลักการสอบสวนเบื้องต้นว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการได้ไปรับการรักษาจากโรงพยาบาล โดยเป็นความเสียหายที่เกิดจากทั้งการไม่มีการทำผิด ( No Fault) คือการชดเชยโดยปราศจากความผิด (No Fault Compensation) แต่ในขณะเดียวกัน มาตรา 41 ก็มีการชดเชยในกรณีที่มีการ "ทำความผิด"เนื่องจากยังมีการ "สอบสวน"ก่อนจ่ายเงินชดเชย และยังมีมาตรา 42 ให้ "ไปไล่เบี้ยเอากับผู้กระทำความผิด" อีกด้วย
ในส่วนข้อเสนอเรื่องการใช้อนุญาโตตุลาการทางการแพทย์ในประเทศไทยนั้น(2) ผู้เขียนเชื่อว่า คงไม่สามารถยุติ "ข้อพิพาทในทางการแพทย์"ได้ ซึ่งจะเห็นได้จากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีแพทยสภาทำหน้าที่ "พิจารณาข้อพิพาทาทงการแพทย์" โดยคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งทำหน้าที่เป็น "คนกลาง" (ทำหน้าที่คล้ายอนุญาโตตุลาการ)ที่มีความรู้ทางวิชาชีพแพทย์และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ยังไม่สามารถทำความั่นใจให้กับคู่กรณีไม่ว่าแพทย์หรือประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากแพทยสภาเองก็ถูกคู่กรณีทั้งแพทย์และฝ่ายประชาชน นำคดีไปฟ้องศาลปกครองอยู่ตลอดมาเช่นกัน
ผู้เขียนขอเสนอว่า การป้องกันความเสียหายจากการไปรับการรักษาจากแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่ในระบบบริการสาธารณะด้านสาธารณสุขของไทยยังขาด "การป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย"เป็นอย่างมาก เช่น การที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักเกินไป มีผู้ป่วยมาก ทำให้แพทย์ต้องเร่งรีบทำงาน จนเสี่ยงต่อความเสียหาย เช่นมีเวลาตรวจร่างกายผู้ป่วยคนละ 2- 4 นาที และไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายให้ผู้ป่วยฟังจนเข้าใจ ถึงข้อจำกัดในทางการแพทย์ว่า ในหลายๆกรณีก็อาจเกิดความเสียหายโดยไม่ได้มีความผิดของแพทย์/บุคลากรทางการแพทย์ จนทำให้ผู้ป่วยผิดหวังเมื่อเกิดความเสียหาย แม้ว่าความเสียหายนั้น ไม่ได้เกิดจากการรักษาผิดพลาด ต่ำกว่ามาตรฐาน ประมาทเลินเล่อ หรือละเลยไม่เอาใจใส่ผู้ป่วย
เนื่องจากว่า วิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถจะรักษาชีวิตผู้ป่วยทุกคนได้ ทำได้แต่เพียงรักษาได้จนสุดความสามารถ(ของแพทย์) แต่ผู้ป่วยจะรอดหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับบุพกรรมที่ทำมา หรือตามแต่ประสงค์ของพระเจ้าจะบันดาลให้เป็นไป แม้แพทย์จะได้ใช้ความระมัดระวังในการรักษาผู้ป่วยตามหลักวิชาการแพทย์ อาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของตนและทำตามมาตรฐานที่มีอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้ทุกคน ผู้ป่วยบางคนเดินมาโรงพยาบาลแต่ต้องหามออกไป ผู้ป่วยบางคนถูกหามมา แต่เดินปร๋อกลับบ้านก็มี
เนื่องจากมีคำกล่าวของ Sir William Osler (Father of Modern Medicine) ว่า Medicine is a Science of Uncertainty and an Art of Probability)แปลว่า การแพทย์เป็นวิทยาศาตร์ของความไม่แน่นอน และเป็นศิลปศาสตร์ของความ น่าจะเป็น
เอกสารอ้างอิง
///////////
โดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา