จดหมายจาก หวาง นัน
สวัสดีค่ะ ดร.ธัญ
My name is Wang Nan หนูชื่อ หวาง นัน ที่มาถามคำถามอาจารย์หลังเลิกเรียนไงคะ
ก่อนอื่นหนูขอบคุณอาจารย์มากนะคะ สำหรับเทคนิคการตัดสินใจแบบโยนเหรียญ มันมีประโยชน์มากๆ เพราะหลายครั้ง หนูมักจะลังเล ยามต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ใจหนึ่งก็อยากจะลุยไปอย่างที่คิดที่ฝัน แต่อีกใจก็กังวลว่าจะพลาดล้มเหลวผิดหวัง วิธีของอาจารย์ดีจริงๆ ในการช่วยให้เข้าใจสมองตนเอง หนูจะจำไว้ใช้ต่อๆไปค่ะ
สิ่งที่หนูจับได้จากการแชร์สั้นๆ ของอาจารย์วันนี้คือ The Journey หนูทึ่งกับการมองเห็นชีวิตอย่างมีทิศทางตามแผนที่ที่อาจารย์เล่า เราต้องฝึกใช้สติและสมองในการขับเคลื่อนตนเองไปข้างหน้า We need to lead our brain
แม้ว่าหนูจะยังไม่เข้าใจละเอียดนักแต่ก็รู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งที่มีประโยชน์จริงๆ อ้อ I am from China currently studying Foundation Year อายุ 18 ปีค่ะ
หนูสนใจจุดที่อาจารย์เล่าถึง “สมองอันเกียจคร้าน” The brain is lazy และเรื่องการเอาชนะกำแพงวัดใจ Activation Barrier ศิลปะแห่งผู้นำเมื่อมองผ่านเลนส์ของวิทยาศาสตร์ช่างน่าศึกษามากๆ แต่ที่หนูหลงรักเลยคือเรื่องของ Flow ความสุขแท้จริง เกิดจากการต่อสู้เพื่อเป้าหมายอันยากยิ่ง I hope one day I can perceive the power of wonderful enjoy after I stretched to the limits of my ability with a completed result.
นี่เพิ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 ของการจากบ้านมาของหนู แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่หนูก็ได้คิดอะไรมากมาย Thank you again for the nice presentation which inspired me a lot about what I should know at the age of 18. I’d like to exchange ideas more after I finish the book you recommended เพื่อค้นหาตนเองและสร้างอนาคตของหนูต่อไป Leadership is such a important existence in this century.
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ Have a wonderful tonight!
Wang Nan
ข้อคิดของผู้นำสมอง
1. The Brain-Based Journey หัวข้อที่ผมไปแชร์กับนักเรียนมหาวิทยาลัยกว่าร้อยชีวิตในวันนั้นคือ The Journey อันเป็นแผนที่การ ‘นำสมอง’
เริ่มชั่วโมงด้วยการเปิดกราฟ Man vs. Machine ให้ดูว่า อีกยี่สิบปีข้างหน้า หรือเมื่อเขาอายุ 38 ปี งานกว่าครึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันจะถูกทดแทนด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วจะ Survive ในโลกนั้นได้อย่างไร
คำตอบคือเราต้องเลิกทำตัวแข่งกับหุ่นยนต์ เปลี่ยนมาเรียนรู้ศักยภาพของมนุษย์ ฝึกฝนวิธีใช้สมองค้นหาตนเอง ตั้งคำถามท้าทายปัจจุบัน ขับเคลื่อนเพื่อสร้างสิ่งที่โลกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ Challenge the convention
2. ROI ของการเรียน ตัวอย่างเช่น เวลาประเมินหลักสูตร ทุกองค์กรใช้วิธีเหมือนกันหมดคือหารค่าความพึงพอใจผู้เรียนแบบ GPA
แต่จดหมายของหวางนันทำให้ผมกลับมาคิดใหม่ หากวัดผลแบบค่าเฉลี่ย น้องๆ ในห้องทั้งที่หลับ และตื่นระหว่างเซสชั่นให้เพียง 3.5 จาก 5 ซึ่ง HR คงไม่จ้างกลับไปใหม่ แต่ไม่รู้ทำไมหลังอ่านอีเมลจบ ผมกลับรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จยิ่งนักกับหลักสูตรนี้
ใครจะรู้ว่าวันหน้า เด็กสาวจากเมืองจีนตัวเล็กๆ ผู้นี้อาจเป็น Jack Ma คนต่อไป ผมสร้างผู้นำได้หนึ่งจากร้อยคนในห้องไม่เรียกว่าประสบความสำเร็จหรอกหรือ เราคงไม่ได้หวังให้ทุกคนในห้องเดินออกไปเป็นผู้นำทุกคนไม่ใช่หรือ เรากำลังเรียนหลักสูตรผู้นำ ไฉนเราจึงใช้วิธีของผู้ตามเป็นตัวชี้วัด คำถามกวนโลกแบบนี้คือสิ่งที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้
3. Start Now! ประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยกราฟที่ผมทำประกอบในวันนั้น ก็ถูกพี่ชายจิ๊กเอาไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับ ‘เพื่อนธรณ์’ อีกหลายพันคน
“เบื่อจัง เด็กไม่อยากเรียน เด็กขาดความกระตือรือร้น เป็นถ้อยคำที่อาจารย์แทบทุกคนบ่น คือเด็กไม่รู้จะเรียนไปทำไม สิ่งที่เรียนไปไม่เห็นเกี่ยวกับชีวิตตรงหน้า ขอให้ได้เกรด ได้ทรานสคริปต์ดีๆ ก็สมัครงานได้แล้ว เทอมหนึ่งจะทุ่มเทจริงก็เฉพาะก่อนสอบเพียงไม่กี่วัน ในห้องเรียนจะทำอะไรก็ได้ ชีวิตของเด็กยุคนี้มีเรื่องเฉพาะหน้ามากระตุ้นความสนใจมากกว่าที่จะไปสนใจอนาคตอันไกลโพ้น”
คนที่จะอยู่รอดคือคนที่กระตือรือร้นอยากเรียนรู้เมื่อมีโอกาส การเรียนรู้เพื่อได้ความรู้เป็นสิ่งตอบแทน และการรู้เพื่อสักวันจะนำมาใช้ได้ในชีวิต
หากน้องคนใดไม่เข้าใจ ผมแนะนำให้กลับไปอ่านจดหมายของหวาง นัน อีกครั้ง เพราะนั่นคือวิธีคิดของเพื่อนร่วมโลก ที่จะมาแย่งงานซี่งเหลือเพียง 40% ในอนาคตของคุณ
หรือหากใครยังบ่นว่า ไร้สาระ น่าเบื่อ ไม่เห็นเกี่ยวกับชีวิตเฉพาะหน้า งั้นผมขอยืมประโยคอาจารย์ธรณ์มาใช้บ้าง
“ก็จงเดี้ยงไปซะ” ครับ!