A Change is Gonna Come

A Change is Gonna Come

มขออนุญาตเขียนถึงเพลงฝรั่งเก่าๆสักครั้งนะครับ เพราะในช่วงหลังๆ ที่แก่มากขึ้น จึงเกิดความต้องการการ "ผ่อนคลาย” อารมณ์ความรู้สึกบางประการ

เกี่ยวกับบ้านเมืองครับ เพลงที่จะพูดถึงและเอามาใช้เป็นชื่อบทความเป็นเพลงของนักร้องผิวสี ชาวอมเริกัน ชื่อ Sam Cooke ซึ่งเดิมเป็นนักร้องในโบสถ์แต่ต่อมาก็เข้าสู่วงการร้องเพลง เมื่อประสบตวามสำเร็จจากการร้องเพลงก็ได้ตั้งบริษัทธุรกิจเพลงขึ้นมา ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทธุรกิจเพลงของคนผิวสีที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ความขัดแย้งระหว่างสีผิวทั้งในระดับสังคมและในวงธุรกิจเพลง ทำให้แซมคุ๊กถูกฆาตกรรมอย่างมีเงื่อนงำเมื่ออายุเพียง 33 ปี

แซม คุ๊กเกิดในปี ค.ศ.1931 ถูกฆาตกรรมในปีค.ศ.1964 ในช่วงก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองได้ขยายตัวมากขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศสหรัฐ ปี ค.ศ. 1955 เด็กอายุ 14 ผิวดำถูกฆ่าตายอย่างทารุณที่ริมแม่น้ำมิสซีสซิปปิ้ ซึ่งได้จุดชนวนให้นักศึกษาผู้หญิงผิวสีปฏิเสธคำสั่งที่จะต้องให้ที่นั่งบนรถเมลล์แก่คนผิวขาวจึงถูกจับที่เมืองมอนต์โกเมอรรี่ อลาบามา จากนั้น การเคลื่อนไหวก็กระเพื่อมออกไปอย่างกว้างขวาง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ( Martin Luther King Jr ) จึงสามารถร้อยรัดถักสานอารมณ์ความรู้สึกของคนผิวสีให้เคลื่อนไหวอย่างเป็นขบวนและมีพลัง

ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกจนถึงทศวรรษ 1970 มีส่วนในการเปิดพื้นที่ให้แก่การเคลื่อนไหวขบวนการสิทธิพลเมืองนี้ เพราะหลังจากสงครามโลกยุติ คนผิวสีจำนวนมากที่เข้าร่วมสงครามโลกได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนผิวขาว ( แม้ว่าในช่วงแรกของสงคราม คนผิวสีจะถูกจำกัดหน้าที่ในสงครามไว้เฉพาะบางด้านก็ตาม ) กลับมาสู่มาตุภูมิพร้อมกับการยอมรับที่มากขึ้น

พร้อมกันนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการบริโภค ทำให้ความเท่าเทียมกันในการบริโภคเกิดขึ้น ความสามารถของคนได้ถูกยอมรับมากขึ้นในกระบวนการผลิตทั้งหมด ในวงการเพลงก็เช่นเดียวกัน นักร้องที่มีเสน่ห์ ร้องเพลงเพราะก็ได้รับการยอมรับจากตลาดจากการขายแผ่นเสียงโดยที่ไม่มีข้อจำกัดของสีผิวอีกต่อไป ( รัฐจอร์เจียเคยแบนเพลงและนักร้องผิวสี Ray Charles แต่ในท้ายที่สุดก็ยกเลิกการแบนเพราะพลังของความนิยม )

แซม คุ๊ก ได้เริ่มแต่งเพลง A Change is Gonna Come ซึ่งแปลได้ว่า “ความเปลี่ยนแปลงจะต้องมาถึง” ในปี ค.ศ. 1963 ด้วยเหตุที่เขาถูกทางโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ยอมให้เขาเข้าพักทั้งๆ ที่ได้จองห้องไว้แล้วอันเนื่องมาจากเขาเป็นคนผิวสี แซม คุ๊ก ซึ่งมีชื่อเสียงมากแล้วในช่วงนั้นไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะต่อรอง/ต่อสู้ให้ตนเองเข้าพักได้

แม้ว่าเขาจะโกรธและเจ็บปวดกับสิ่งที่ถูกกระทำ แต่ในช่วงแรก เขายังกังวลว่าหากร้องและอัดเพลงนี้ออกสู่ตลาดอาจจะกระทบกระเทือนกลุ่มคนผิวขาวที่เป็นแฟนหลักซื้อแผ่นเสียงและเข้าฟังเขาร้องเพลงด้วย จนปลายปี 1963 เมื่อเพลง Blowin' in the Wind ของ Bob Dylan ประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงทำให้เขาหวนกลับมาตัดสินใจว่าควรจะอัดเพลง A Change is Gonna Come

ระหว่างปี ค.ศ. 1955 ถึง ค.ศ. 1930 ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวรบทางวัฒนธรรม เพลงต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางและที่สำคัญไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มนักเคลื่อนไหวเท่านั้น หากแต่ในสังคมทั้งหมดที่ฟังเพลงจากแผ่นเสียงและวิทยุสามารถที่จะฟังเพลงที่ฝังไว้ด้วยความคิดใหม่นี้ด้วย ( แตกต่างจากเพลงเพื่อชีวิตไทยในช่วง พ.ศ. 2516-2519 ) เพลงของแซม คุ๊ก จึงได้รับความนิยมและถูกถือว่าเป็นหนึ่งในเพลงต่อต้านกระหลักในสังคมช่วงนั้น

ความหมายของเพลง “ A Change is Gonna Come “ (ความเปลี่ยนแปลงจะต้องมาถึง) เป็นการแสดงถึงความหวังที่เชื่อว่าสังคมอเมริกันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่การยอมรับความแตกต่างมากขึ้น แม้ว่าไม่มั่นใจ 100% ว่าความเปลี่ยนแปลงจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน แต่ก็จะเชื่อและหวังว่าจะมา ( ด้วยการใช้คำว่า Gonna )

บนความเชื่อและความหวังนี้เองจึงทำให้พลเมืองอเมริกันจำนวนมากได้ร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมของพวกเขา มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้แปลความหวังของสังคมชุดนี้ออกมาอย่างไพเราะและมีพลังในสุนทรพจน์สาธารณะชื่อว่า “I have a Dream”

ความหวังที่ว่าสิ่งดีๆ จะต้องเกิดขึ้น และความฝันที่อยากจะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ได้หล่อเลี้ยงสังคมอเมริกันมาเนิ่นนาน แม้ในวันนี้คนอเมริกันจำนวนครึ่งหนึ่งจะรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างมันถอยหลังย้อนกลับไปทศวรรษแห่งการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง แต่คนจำนวนครึ่งหนึ่งนี้ก็ยังคงแสวงหาแนวทางที่จะสานความหวังและความฝันต่อไป

ผมเขียนความเรียงเรื่องเพลงวันนี้ นอกจากจะเล่าให้ทุกท่านฟังว่าคนแก่อย่างผมระบายความตึงเครียดอย่างไรแล้ว ลึกลงไปอยากจะบอกกับท่านผู้อ่านและสังคมโดยรวมว่า อย่างไรเสีย ความเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเกิดขึ้น เราทั้งหมดไม่ว่าใครก็ตามไม่สามารถที่จะหยุด “เวลา” เอาไว้ได้ แนวทางที่เหมาะสมและควรร่วมด้วยช่วยกันก็คือมองหาแนวทางความเป็นไปได้หลายๆ ทางของสิ่งที่กำลังจะมาถึง เพื่อที่จะช่วยกันเลือกทางที่ทำให้สังคมไทยที่เรารักนี้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติสุข

เราจะไม่หมดกำลังใจในการถักสานความหวังและความฝันเพื่อลูกหลานเราครับ