เทคนิคค้นหาหุ้น ของ... “เซียนมี่”

โดยในวันแรกของการอบรม ทางอาจารย์ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่) ได้ให้เกียรติมาบรรยาย

“เซียนมี่” เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ผมประทับใจมาก ชีวิตในวัยเด็กของเขาเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน ตนเองเริ่มต้นอาชีพด้วยการขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และประกอบอาชีพอีกมากมายหลายอย่าง ทุกวันนี้...เซียนมี่เป็นนักลงทุนเต็มเวลา โดยมีพอร์ตการลงทุนในจำนวนเงินที่สูงมาก ดังนั้นเทคนิคการหาหุ้นของเซียนมี่จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงอยากถ่ายทอดบางเทคนิคที่น่าสนใจให้แก่คุณผู้อ่านได้อ่านกัน ดังนี้ครับ

1. ซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ

โดยปกตินักลงทุนมักจะเล่นหุ้นโดยดูค่า P/E (ราคาหุ้น/ผลกำไร) เป็นหลัก โดยทั่วไปก็มักจะเอาค่าพีอีที่ 15 เท่าเป็นหลัก ถ้าสูงกว่านี้ก็แสดงว่าแพง 2 ปีก่อนหน้านี้ ค่าพีอีของหุ้นเฟซบุ๊คอยู่สูงกว่า 100 เท่า ในขณะที่ค่าพีอีของหุ้นกูเกิลอยู่แค่ประมาณ 10 กว่าเท่า ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไปซื้อหุ้นกูเกิลกัน เพราะต่างคิดว่าหุ้นเฟซบุ๊คแพง

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ค ก็ได้บอกว่า เขาจะให้เฟซบุ๊คมุ่งไปทำวีดิโอ หลังจากนั้นก็เกิด...เฟซบุ๊คไลฟ์...เฟซบุ๊ควอชท์... และทำให้ราคาหุ้นเฟซบุ๊คเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าของราคาหุ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่ค่าพีอีของหุ้นกูเกิลขึ้นมากว่า 30 เท่า และราคาเพิ่มขึ้นมาเพียง 2 เท่า นั่นคือ คิดให้ออกว่า “Business Model” ของบริษัทนั้นคืออะไร มากกว่าดูจากตัวเลขทางการเงิน

1. ธุรกิจมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และอาจจะเปลี่ยนจากหุ้นโตช้าเป็นหุ้นเติบโตได้

ในอดีตราคาหุ้นของบริษัทที่ขายโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่งค่อนข้างจะนิ่ง ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ซึ่งนักลงทุนก็ไม่ค่อยให้ความสนใจ และแล้ว...จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เมื่อมีการมีการประมูลคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ หลังการประมูลค่ายมือถือทุกค่ายต้องการให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ระบบใหม่ เพราะเสียค่าสัมปทานต่ำกว่า จึงให้ค่าการตลาดและส่วนลดแก่บริษัทขายมือถือเป็นอย่างมาก บริษัทมือถือแห่งนี้ก็ขายเครื่องได้เป็นจำนวนมาก และได้กำไรเป็นจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนใหญ่อีกจุดหนึ่งก็คือ โทรศัพท์มือถือไอโฟนในช่วงแรกนั้น จะให้ค่ายมือถือทั้ง 3 รายเป็นผู้จัดจำหน่ายเท่านั้น ต่อมาความต้องการไอโฟนเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้แอปเปิ้ลตัดสินใจเพิ่มผู้จัดจำหน่ายอีก 3 ราย และบริษัทมือถือแห่งนี้ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายด้วย ซึ่งข่าวนี้ก็เป็นที่รับทราบของผู้คนที่ติดตามข่าว แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนี้กัน ปรากฏว่ายอดขายไอโฟนก็ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ทั้งยอดขายและผลกำไร จนทำให้ราคาหุ้นของหุ้นตัวนี้พุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

1. ให้ความสำคัญกับ “การศึกษาข้อมูลอย่างแท้จริง” มากกว่าผลลัพท์

บริษัทรับเก็บหนี้เสียแห่งหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนด้วย บริษัทเก็บหนี้แห่งนี้เป็นบริษัทที่ซื้อหนี้เสียมาจากธนาคารและมาเรียกเก็บอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้ว บริษัทอาจใช้เวลาถึง 10 ปีในการเก็บหนี้เสียให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามด้วยกฎระเบียบที่ทางการกำหนดมาทำให้บริษัทแห่งนี้ต้องตัดมูลหนี้ก้อนนี้ภายในเวลาเพียง 3-4 ปี ก็ได้ทำให้งบการเงินของบริษัทเก็บหนี้แห่งนี้ออกมาแย่มาก ผลก็คือ ราคาหุ้นของบริษัทรับเก็บหนี้ก็ร่วงลงมาอย่างมาก

เมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ทางการก็ได้เปลี่ยนเงื่อนไขการตัดมูลหนี้ของหนี้เสียที่ซื้อมาจาก 3-4 ปีเปลี่ยนไปเป็น 7-8 ปี ก็ทำให้งบการเงินของบริษัทดูดีขึ้นจนผิดหูผิดตา ราคาหุ้นที่ต่ำอยู่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ไม่รู้จริงก็จะขายหุ้นตัวนี้ออกมาก่อน เพราะค่าพีอีและตัวเลขทางการเงินต่างๆออกมาไม่ดี แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาอย่างแท้จริงก็จะกล้าลงทุนซื้อและถือหุ้นตัวนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน

1. นักลงทุนที่มักจะเสียหายเป็นจำนวนมาก...มาจากการลงทุนด้วยข้อมูลพื้นฐาน

นักลงทุนที่ลงทุนด้วยวิธีเทคนิคอล มักจะทำการตัดขาดทุนเมื่อข้อมูลทางเทคนิคแสดงในทิศทางที่เป็นลบ จึงเสียหายจากการลงทุนไม่มากนัก แต่กลับพบว่า นักลงทุนที่เสียหายมาก มักจะมาจากการลงทุนด้วยข้อมูลพื้นฐาน...แต่ไม่รู้จริง ทำให้ไม่กล้าตัดขาดทุน และเสียหายเป็นจำนวนมากๆ โดยมักจะซื้อหุ้นตามคำแนะนำของคนที่เขาเชื่อมั่น หลังจากที่ซื้อไปแล้วก็จะไม่ค่อยสนใจ ถ้าหุ้นราคาสูงขึ้นก็จะดีใจ...แต่ยังคงไม่สนใจศึกษาหาความรู้ในหุ้นที่ซื้อไว้ แต่เมื่อราคาหุ้นตกลงมาเยอะๆ ก็จะเริ่มกลับมาให้ความสนใจศึกษาอย่างจริงจังว่า ทำไม?...หุ้นถึงตก ซึ่งเป็นวิธีที่ควรจะทำก่อนการซื้อหุ้นเสียอีก

สำหรับ...เซียนมี่แล้ว ก่อนซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เขาต้องดูวีดิเทปบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุนหรือที่เรียกกันว่า “Opportunity Day” ย้อนหลังไปทุกเทป อ่านรายงานประจำปี อ่านบทวิเคราะห์ อ่านเว็บไซต์ ดูยูทูปของผู้บริหารของบริษัทนั้นๆ จนมั่นใจในหุ้นตัวนั้นๆแล้ว...จึงค่อยตัดสินใจซื้อหุ้น

และนั่นคือส่วนหนึ่งของ “เทคนิคการค้นหาหุ้นของ เซียนมี่”

ขอให้คุณผู้อ่านประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ

หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com