ทำร้ายด้วยเสียง

ทำร้ายด้วยเสียง

ทำร้ายด้วยเสียง

เดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา นักการฑูตอเมริกันหลายคน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ เมืองฮาวาน่า ประเทศคิวบา มีอาการคลื่นใส้ ปวดศรีษะอย่างรุนแรง และเริ่มเสียความสามารถในการได้ยิน

หลังจากนั้น จำนวนผู้ป่วยได้ขยายวงเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะสมาชิกในครอบครัวของนักการฑูต ก็มีอาการแบบเดียวกันด้วย เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน นักการฑูต 2 คน ที่กลับไปรักษาตัวที่อเมริกา ได้รับผลกระทบถึงขนาดสูญเสียการได้ยินเกือบทั้งหมด และไม่สามารถกลับไปทำงานที่สถานฑูตในคิวบาได้อีก และมีผลให้อีกหลายคนปฏิเสธที่จะกลับไปทำงานที่คิวบา

เจ้าหน้าที่อเมริกัน เชื่อว่านักการฑูตและครอบครัว น่าจะต้องถูกลอบทำร้ายด้วย “เสียง” ที่มีระดับความถี่สูงมากหรือต่ำมากจนมนุษย์ไม่ได้ยิน (Sonic Attack หรือ Acoustic Attack) และคาดว่าคงจะต้องมีผู้ลักลอบนำอุปกรณ์ ที่ปล่อยเสียงระดับอันตราย ไปแอบติดไว้ในสถานฑูตและที่บ้านพักของนักการฑูต จนกระทั่งเกิดอาการเจ็บป่วยและสูญเสียการได้ยินเช่นนั้น

เสียงที่มีความถี่สูงมากๆ มีผลให้เกิดความร้อนในสมองบางส่วน และก่อให้เกิดคลื่นที่มีผลกระทบต่อการได้ยิน ส่วนเสียงที่มีความถี่ต่ำมากๆ ก็รบกวนจนก่อให้เกิดอาการคลื่นใส้และปวดศรีษะอย่างรุนแรง

รัฐบาลอเมริกัน สงสัยว่านี่ต้องเป็นการ “ลอบทำร้าย” นักการฑูตของตนอย่างแน่นอน จึงเร่งสอบสวนและออกมาตรการประท้วงคิวบา โดยสั่งให้นักการฑูตคิวบา 2 คน ออกไปจากอเมริกา เมื่อเดือนพฤกษภาคม 2560

แต่ผ่านไปเพียงเดือนเดียว เมื่อเดือนมิถุนายน 2560 ประเทศแคนาดาก็รายงานว่านักการฑูตของตนจำนวน 5 คน มีอาการเจ็บป่วย ลักษณะเดียวกับนักการฑูตอเมริกันทุกประการ คำถามคือ....เกิดอะไรขึ้นกับนักการฑูตต่างประเทศ ที่ทำงานอยู่ในคิวบา?

ผู้ต้องสงสัยหมายเลขแรกๆ คงหนีไม่พ้นรัฐบาลคิวบา แต่รัฐบาลคิวบาก็แถลงว่า รัฐบาลไม่มีส่วนในการลอบทำร้ายนักการฑูตด้วย “เสียง” อย่างแน่นอน และได้ให้ความร่วมมือในการหาข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่

เรื่องราวทั้งหมด เพิ่งเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา แถลงอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมนี้เอง ก่อนหน้านั้น รัฐบาลอเมริกันและแคนาดา ได้ดำเนินการอย่างเงียบๆ การที่อเมริกาไล่ 2 นักการฑูตคิวบากลับประเทศ เมื่อเดือนพฤกษภาคม ก็ไม่ได้มีการเปิดเผย

รวมทั้งรัฐบาลแคนาดา ซึ่งค้นพบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 ว่านักการฑูตของตนได้ถูกลอบทำร้ายด้วยเสียงเช่นกัน ก็เพิ่งออกมาแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนสิงหาคม2560 นี้เอง

เจ้าหน้าที่อเมริกันแถลงว่า นักการฑูตบางคนและสมาชิกในครอบครัว ซึ่งพักผ่อนอยู่ที่บ้านพักของตนเองในยามค่ำคืน ก็ถูกลอบทำร้ายด้วยเสียงขณะนอนหลับโดยไม่รู้ตัวแสดงว่าต้องมีอุปกรณ์แอบซ่อนอยู่ในบ้าน หรือบริเวณใกล้เคียง

ความจริงอย่างหนึ่งก็คือ รัฐบาลคิวบา มีกติกา “กำกับ” นักการฑูตชาวต่างชาติ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการฑูตอเมริกา) อย่างเคร่งครัดมาก คือจะต้องเช่าบ้านพัก โดยตรงจากรัฐบาลคิวบาเท่านั้น และเมื่อใดที่เดินทางออกไปจากเมืองหลวงฮาวาน่า ก็ห้ามเข้าพักที่บ้านพักของชาวคิวบา นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ชาวคิวบา ที่สถานฑูตรับเข้ามาทำงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ที่นักการฑูตรับไปทำงานที่บ้าน ก็จะต้องทำสัญญาจ้างผ่านรัฐบาลคิวบาเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่น่าประหลาดใจ ถ้าหากประเทศที่นักการฑูตได้รับผลกระทบ จากการถูกลอบทำร้ายด้วยเสียง จะมีความสงสัยในรัฐบาลคิวบาอยู่บ้าง แต่รัฐบาลคิวบาก็ออกมายืนยันตลอดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียสของรัฐบาลเช่นกัน และให้ความร่วมมือในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง อย่างเต็มที่

เช่นอนุญาตให้อเมริกาส่งเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ และให้แคนาดา ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดพิเศษ เข้าไปสอบสวนได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม นับจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานใดๆได้เลย และผู้ต้องสงสัยเริ่มขยายวงออกไป ว่าอาจจะไม่ใช่คิวบา แต่อาจเป็น “ประเทศที่ 3 ซึ่งไม่เป็นมิตรกับอเมริกาเท่าใดนัก

ช่วงนี้ จึงเริ่มมีชื่อประเทศต้องสงสัยเข้าไปบ้างแล้ว เช่นเกาหลีเหนือ รัสเซีย จีน เวเนซูเอล่า หรือ อิหร่าน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม สองสัปดาห์ที่ผ่านไป ทุกอย่างก็ยังเป็นควาลี้ลับ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาอุปกรณ์ หรือหลักฐานใดๆ หรือจับตัวผู้ต้องสงสัยได้เลย

ที่เป็นข่าวดีอย่างหนึ่ง ท่ามกลางข่าวร้ายที่น่ากลัวก็คือ เหยื่อของการโจมตีด้วยเสียงครั้งนี้ ยังจำกัดอยู่เฉพาะนักการฑูตและครอบครัวเท่านั้น ประชาชนชาวอเมริกันหรือชาวแคนาดา ที่พำนักอยู่ในคิวบา ยังไม่มีใครเจ็บป่วยด้วยอาการเช่นนี้เลย

เรื่องนี้สะท้อนว่า กำลังมีการลอบทำร้ายด้วยอาวุธใหม่ๆตลอดเวลา อาวุธบางอย่างก็ไฮเทคมาก เช่นรัสเซีย เล่นงานเอสโตเนีย ด้วยการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) จนระบบเศรษฐกิจปั่นป่วนไปหมดเมื่อปี 2007หรือที่พี่ชายของผู้นำเกาหลีเหนือ ถูกโปะยาพิษ เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ที่สนามบินในประเทศมาเลเซีย เป็นต้น

บัดนี้ อาวุธชนิดใหม่คือ “เสียง ที่เราไม่ได้ยิน” มีเป้าหมายที่ “สุขภาพกาย” ของนักการฑูตในคิวบา แต่ก็อย่าคิดว่า “เสียง ที่เราได้ยิน” จะปลอดภัยและใช้เป็นอาวุธไม่ได้นะครับ เพราะเสียงจากคนแวดล้อม ที่เราพบอยู่เป็นประจำนั้น บางครั้งมันก็ทำร้าย “สุขภาพใจ” ของเรา ได้อย่างมากเช่นกัน

ไม่มีใครหรอกครับที่อยากถูกทำร้ายด้วยเสียง ดังนั้นเราก็จงอย่าใช้เสียงของเราไปทำร้ายคนอื่น อย่างนี้จะดีที่สุด

ที่ประเทศไหนๆ “เสียง” ก็หมายถึง เสียงที่เราได้ยินหรือไม่ได้ยินนั่นแหละ แต่ที่ประเทศไทย คำว่าเสียง นอกจากจะหมายความเช่นนั้นแล้ว ยังหมายถึง “เสียงที่ซื้อได้ขายได้” อีกด้วย เพราะมีตลาดซื้อขายกันมานาน จนกลายเป็นตลาดใหญ่ มีธุรกรรมมากมาย

เมื่อยังไม่มีการเลือกตั้ง ตลาดนี้ก็วายไปพักใหญ่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า ตลาดจะกลับมาคึกคักใหม่ ในเวลาอีกไม่นานนี้หรือไม่ ถ้าหาก “ตลาดเสียง” กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วยังซื้อง่ายขายคล่องเหมือนเดิม....

เราก็คงหวังอะไรได้ไม่มากนัก สำหรับอนาคตของประเทศนี้ครับ