การโจมตีถึงรากเหง้า ขยายปมไม่ปรองดองที่สหรัฐ

การโจมตีถึงรากเหง้า ขยายปมไม่ปรองดองที่สหรัฐ

สหรัฐเป็นประเทศเสรีแห่งการแสดงออก แต่ทุกท่วงท่านั้นอาจต้องจ่ายที่ราคาแพง การก้าวขึ้นมาของประธานาธิบดีเกือบขวาจัดอย่าง Donald Trump

นำการกล้าที่จะแสดงออกของทั้งฝ่ายขวาจัดและฝ่ายหมั่นไส้พวกแรกหลายอย่าง ถึงตายก็เกิดขึ้นแล้ว ขณะที่การพยายามทำลายรากเหง้าของฝ่ายขวาก็รุนแรงขึ้น เป็นปฏิกิริยาตรงกับการลุกฮือขึ้นแสดงพลังของพวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว สังคมอเมริกันที่อยู่บนพื้นฐานของการยอมรับการแตกต่าง สลับกับการดีเบตกันได้ทุกเรื่องอย่างไร้ความรุนแรงกำลังจะสลายไปแล้วหรือ หรืออาจพบจุดจบก่อนที่ทรัมป์จะโดนไล่ลงเสียอีก

สังคมอเมริกันคงไม่ถึงทางเลวร้ายขนาดนั้นนะครับ เพราะทุกสังคมมีคน apolitical มากกว่าคนชอบการเมือง เพียงแต่ว่าจะหาทางปรับตัวยังไงให้วุ่นวายน้อยที่สุด เรียกว่าอเมริกันชนต้องแสวงหาอัตลักษณ์ตนเองเสียใหม่ ยอมใจให้คนเห็นต่างแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ต้องให้ชัดในหลายมิติ เช่น นโยบายต่อชนกลุ่มน้อย แต่เมื่อถึงตอนนี้ก็พบว่าบาดแผลที่ยังเปิดถ่างออกทุกที ประการสำคัญก็คือการที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ของขวา(Rightist) กับพวกต้านขวา (anti-Rightist)

สัปดาห์ที่ผ่านมามีการเดินขบวนครั้งใหญ่ของฝ่ายที่อยู่ในเฉดขวาที่ Charlotteville มลรัฐเวอร์จิเนีย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Neo-Nazi, Ku Klux Klan, กลุ่มพลังคนขาว และอีกหลายกลุ่มรวมทั้งมีกลุ่มชาตินิยมจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ไปกับเขาด้วย 

ประท้วงการที่สภาเมืองจะย้ายรูปปั้นขี่ม้านายพล Robert E. Lee ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพฝ่ายใต้ที่รบกับฝ่ายเหนือในสงครามกลางเมืองสหรัฐ เมื่อเกือบ 200 ปีก่อนออกไปจากสวนสาธารณะซึ่งก็พึ่งเปลี่ยนชื่อจากชื่อท่านนายพลเป็นอื่นเมื่อต้นปีนี้เอง 

การประท้วงนี้ถูกปลุกกระแสและมีอย่างประปรายมาตั้งแต่ต้นปี แต่มาเดินขบวนใหญ่สัปดาห์ก่อนนี้เอง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการประท้วงตอบโต้ที่หนักหน่วงต่อกันตามมา มลรัฐเวอร์จิเนียต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และมีคนขวาจัดขับรถชนฝ่ายที่มาประท้วงตอบโต้ตายไปหนึ่งศพเมื่อ 12 ส.ค.60

การตอบโต้ที่รุนแรงของฝ่ายหมั่นไส้ขวาก็คือเข้าไปโค่นรูปปั้นทหารฝ่ายใต้ที่Durham มลรัฐนอร์ทคาโรไลน่า การกระทำเช่นนี้อาจสะใจพวกลิเบอรัล เพราะเป็นการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านทุกอย่างที่เป็นขวา แต่ก็สร้างความตะหนกแก่นักประวัติศาสตร์และผู้อนุรักษ์ของเก่า ในสายตาพวกเขาของเหล่านี้คือศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ จึงมีการย้ายรูปปั้นทหารฝ่ายใต้หลายต่อหลายตัวอออกจากพื้นที่ ทั้งเพื่อป้องกันความเสียหายหรือไม่ต้องการกระตุ้นความเกลียดชัง แต่การกระทำเช่นนี้ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่คนที่อยู่ในเฉดขวาเข้าไปใหญ่

คนอเมริกันผิวขาวเกือบ 100% อาจไม่พอใจถ้ามีคนมองว่าเขาเป็นพวกเหยียดผิว รังเกียจมุสลิม หรือแม้แต่เป็นพวกอนุรักษนิยมจนเกินไป พวกเขามักไม่สมาคมกับกับพวกขวาจัด และก็มีชีวิตปกติเหมือนคนเลือดผสมที่มาเหยียบแผ่นดินอเมริกาไม่นาน แต่ก็มีคนขาวจำนวนมากที่อึดอัดใจกับนโยบายของรัฐหรือท้องถิ่นที่ผลักดันความเท่าเทียมกันของประเทศ ซึ่งบ่อยครั้งทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองกลับด้อยสิทธิกว่าคนมาทีหลัง

เช่น นโยบาย Affirmative Action ที่สงวนสิทธิคนกลุ่มน้อยในงานและในโรงเรียนทำให้คนขาวที่เก่งกว่าเสียที่นั่ง หรือการที่คนกลุ่มอื่นใช้วาจาหยาบคายเรื่องสีผิวต่อคนขาวนั้นไม่ผิด แต่ถ้าคนขาวทำบ้างจะผิดทันที ยิ่งมีการอพยพเข้ามามากขึ้นของคนที่นับถือศาสนาต่างออกไปและการก่ออาชญากรรมมากขึ้นของคนที่มีวัฒนธรรมต่างออกไป ยิ่งทำให้พวกเขากลัว

การเข้ามามีอิทธิพลของคนกลุ่มน้อยทางการเมืองท่องถิ่นเปิดโอกาสให้มีการทำร้ายจิตใจพวกคนขาวเหล่านี้มากขึ้น เช่น การพยายามลิดรอนสัญลักษณ์ชาวใต้ หรือ Confederate ซึ่งเป็นพวกที่พ่ายแพ้ในสงครามกลางเมืองสหรัฐ เพราะมองว่าพวกนิยมสหพันธรัฐนี้เป็นพวกอยากมีทาส ทั้งที่จริงเรื่องทาสเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสงครามคราวนั้น เพราะกว่าคนดำจะได้สิทธิเท่าเทียมถึงขั้นนั่งรถรางเคียงข้างคนขาวก็ต้องรออีกถึง 100 ปี 

คนใต้ที่เชิดชูบรรพบุรุษของตนมองว่าปู่ย่าของเขาสร้างบ้านแปลงเมืองมาและทำไมจะแสดงออกสาธารณะถึงวีรกรรมนั้นบ้างไม่ได้ การเขม่นกับคนดำและคนอื่น ๆ มีอยู่สืบเนื่องยาวนานและยิ่งแรงขึ้นในยุคทรัมป์ที่เหมือนจะเข้าข้างฝ่ายขวากลายๆ

นโยบายและท่าทีของทรัมป์ที่มุ่งช่วยคนอเมริกันก่อนนั้นขัดกับล้อเคลื่อนของคุณค่ายึดถือประเทศนี้ที่พยายามช่วยคนอื่นก่อนและแบกภาระทั้งโลกไว้ตามครรลองWhite Man’s Burden ซึ่งหลักการนี้ผูกอเมริกันทุกคนไว้ด้วยกัน แต่เมื่อนโยบายทรัมป์พุ่งลึกลงลงในจิตใจแต่ละคน รากเหง้าที่ต่างกันของแต่ละคนจะถูกพิเคราะห์อย่างตระหนักว่าคนอเมริกันคนนี้ต่างจากคนนั้น และยิ่งต่างกับคนนอก แถมจะขัดกันอย่างรุนแรงด้วย 

บาดแผลเช่นนี้จะเยียวยาได้ยาก ยิ่งตอนนี้พลังขาวฮือขึ้นมาแบบไม่ต้องซ่อนหน้า ก็มีหวังขับเคี่ยวอย่างเมามันกับพลังหมั่นไส้ขวาที่เติมเข้ามาพร้อมกับคนที่มิใช่คนขาวมีจำนวนมากขึ้น

ระบบที่ควบคุมคุณค่ายึดถืออย่างแข็งแกร่งของสังคมอเมริกัน การรู้ปัญหาจากการประเมินได้ไวและความสามารถในการพลิกฟื้นอย่างรวดเร็วนั้นยังทำให้ผมมั่นใจว่า ถึงโจทย์นี้จะแก้ยาก แต่พวกเขาคงจะควบคุมและจัดการวิกฤติได้ไม่เลวนัก