เริ่มการปฏิรูปด้วยการค้นหาWorse Practice

เริ่มการปฏิรูปด้วยการค้นหาWorse Practice

หากการปฏิรูปทำได้จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น แต่มีมากมายหลายเรื่องที่ยิ่งปฏิรูปยิ่งแย่ลง ก่อนปฏิรูปนักเรียนเคยสอบผ่านการทดสอบความรู้

ระดับโลกได้มากมายแค่ไหนไม่รู้แต่ปฏิรูปกันไปห้าปีสิบปี นักเรียนสอบตกการทดสอบระดับโลกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆจนกระทั่งล่าสุด มีเกือบสี่สิบเปอร์เซนต์ที่สอบตก ในขณะที่บ้านอื่นเมืองอื่นไม่ได้ปฏิรูปอะไรใหญ่โต กลับสอบตกแค่ห้าหกเปอร์เซนต์ 

ดังนั้นจึงไม่มีใครรับรองได้ว่าคำว่าปฏิรูปจะนำมาสู่สิ่งดี ๆเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการปฏิรูปนั้นกระทำไปโดยไม่ได้หาจุดตั้งต้นให้ชัดเจนว่า จะเริ่มกันตรงไหน เกาไปหมดทั้งตัว โดยหาที่คันไม่เจอ เกามากแค่ไหน ก็ไม่หายคัน ดีไม่ดีเป็นแผลตรงนั้นตรงนี้เพิ่มมาเสียอีก

การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้องค์กรดีขึ้น หรือให้องค์กรทำงานได้ผลมากขึ้น ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้แข่งกับคนอื่นได้ดีขึ้น ล้วนเป็นสิ่งที่ใคร ๆก็อยากให้เกิดอยากให้เป็น แต่ต้องรู้ก่อนว่าจะเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่ตรงไหนก่อน จะปรับตรงนั้นให้ดีขึ้นแค่ไหน ตรงนั้นดีขึ้นแล้วจะปรับปรุงตรงไหนต่อ เรามักเริ่มต้นด้วยการไปดูว่าคนอื่นเขาทำอย่างไรจึงได้ผลดี 

เราชอบมองหาBest Practiceของคนอื่น แล้วพยายามจะยัดเยียดBest Practiceนั้นกับองค์กรของเรา โดยคิดว่าถ้าเอาBest Practiceที่ดูมาจากคนอื่นที่เขาใช้ได้ผล มาใช้ในองค์กรของเราแล้ว Best Practiceนั้นน่าจะให้ผลที่ไม่แตกต่างกัน ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ว่าวิธีทำงานที่ได้ผลดีเลิศของที่หนึ่ง จะให้ผลดีเลิศกับอีกที่หนึ่ง องค์กรแต่ละองค์กรแตกต่างกัน คนสองคนมีอะไรที่แตกต่างกันเสมอฉันใด องค์กรสององค์กรก็มีความแตกต่างกันฉันนั้น

เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ในยุคที่เมืองฝรั่งต้องการจะยกขีดความสามารถให้กับธุรกิจในบ้านเมืองของตน ช่วงเวลานั้นเลยมีแนวคิดใหม่ ๆสำหรับการยกขีดความสามารถนำเสนอกันมามากมาย แต่แนวคิดหนึ่งที่ได้ผลปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน คือเริ่มต้นปรับปรุง ปฏิรูปด้วยการแสวงหาWorse Practiceในองค์กรของตนเอง เริ่มจากการค้นหาว่าวิธีทำงานเรื่องใด ในขั้นตอนใด กระทำโดยใคร ที่เป็นจุดตกตำ่ยำ่แย่ที่สุดในการทำงานในองค์กร แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการมองคนที่ทำงานเก่งกว่า แล้วทำตามเขา กลับกลายเป็นเริ่มต้นหาจุดอ่อนที่ยำ่แย่ที่สุดของตนเอง หรือหาWorse Practiceให้เจอก่อน 

จะปฏิรูปบ้านไม่ให้นำ้ท่วม ก็ต้องหาก่อนว่าระดับตำ่สุดของพื้นบ้านอยู่ตรงไหน แล้วดูต่อไปว่าต้องยกระดับพื้นบ้านสูงขึ้นแค่ไหนจึงจะไม่โดนนำ้ท่วม เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยการดูว่าหลังคาบ้านสูงแค่ไหน แล้วยกหลังคาบ้านหนีนำ้ เพราะก่อนที่นำ้ท่วมไปถึงหลังคา นำ้จะท่วมพื้นที่บ้านที่มีระดับตำ่ที่สุดก่อนเสมอ ยกหลังคาเหมือนหาBest Practice ยกพื้นบ้านเหมือนหาWorse Practice วิธีทำงานที่ยำ่แย่สุด ๆ หรือWorse Practice นี่แหละที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการปฏิรูป

การค้นหาWorse Practice นั้นหายากกว่าBest Practiceมาก ๆ เพราะใครที่เป็นเจ้าของงานนั้น จะปกป้องเต็มที่ว่าของฉันไม่ใช่Worse Practice มีเรื่องหน้าตา เรื่องความลำเอียงมาปะปนค่อนข้างมาก ใครที่คิดจะใช้วิธีนี้ในการปฏิรูปต้องเป็นคนที่ยอมรับในเรื่องคุณภาพ และใจกว้างเพียงพอที่จะยอมรับความเป็นจริง พร้อม ๆกับที่ผู้บริหารต้องไม่ยกวิธีการทำงานที่ยำ่แย่ที่ค้นเจอนั้นไปผูกพันกับผลประโยชน์ใด ๆ ไม่ยกเป็นเหตุให้ขึ้นเงินเดือนน้อยลง ไม่เช่นนั้นต่างคนต่างป้องกันให้ไม่มีใครเห็นWorse Practice นักเรียนสอบตกเยอะ ๆ ก็หานักเรียนเก่ง ๆสองสามคนไปชิงรางวัลระดับโลกสองสามรางวัลมาโชว์ให้เห็นว่า คนอื่นต่างหากที่เป็นWorse Practice 

เมื่อค้นพบแล้วก็ช่วยกันคิดต่อว่่า ถ้าWorse Practice ยังคงอยู่ต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าไม่อยากให้เกิดเช่นนั้น เราต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องใด ดีเพิ่มขึ้นแค่ไหน เร็วแค่ไหน เมื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว ให้ลองหาใหม่ว่าWorse Practice ตัวใหม่คืออะไร หรือหาจุดตำ่สุดในตำแหน่งใหม่ในการทำงานนั้นแล้วปรับปรุงยกระดับให้จุดตำ่สุดนั้นสูงขึ้น วนเป็นวัฐจักร จนสุดท้ายจากWorse Practice อาจกลายเป็นBest Practiceของตนเองในที่สุด

ปฏิรูปจากพื้นบ้านก่อน อย่ารื้อบ้านทั้งหลังเพราะหวังปฏิรูป