โสมแดงพลิกเกมด้วย Pre-strike strike

โสมแดงพลิกเกมด้วย Pre-strike strike

ข้อมูลจากสถาบันศึกษาเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศของสหประชาชาติระบุจุดที่ตั้งสถานีนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน

แปลว่ายูเอ็นรู้ดีว่าเกาหลีเหนือมีการพัฒนาอาวุธร้ายแรงที่ละเมิดมติสหประชาชาติอะไรบ้างและมีฐานปฏิบัติการขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์อยู่ตรงไหน

แปลอีกอย่างก็คือว่าหากสหรัฐจะโจมตีเกาหลีเหนือเพื่อยับยั้งการเดินหน้าพัฒนาอาวุธร้ายแรงของโสมแดงก็คงจะสามารถล็อกเป้าได้ไม่ยากนัก

ถามว่าอเมริกากับเกาหลีเหนือใครจะโจมตีใครก่อน?

คำว่า pre-emptive strike มีความหมายว่าประเทศหนึ่งจะถล่มอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะโจมตีตัวเอง

แต่เกาหลีเหนือเล่นเกมใหม่ ไม่ใช่ pre-emptive strike เสียเลยทีเดียว เพราะประกาศว่าจะยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง 4 ลูกไปลงรอบ ๆ เกาะกวมในมหาสมุทรแปซิฟิกของสหรัฐ

ไม่ใช่เป็นการโจมตีเกาะกวมโดยตรง แต่เป็นการยิงไปลงทะเลรอบ ๆ เกาะ ห่างไปประมาณ 30-40 กิโลเมตร

อย่างนี้ไม่อาจเรียก pre-emptive strike เพราะไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน

ไม่เคยที่ศัตรูจะบอกล่วงหน้าว่าจะยิงอะไรมารอบ ๆ เกาะของอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่มีเป้าหมายทำลายทรัพย์สินหรือชีวิตคน

แต่เป็นการแสดงแสนยานุภาพทางทหารว่ามีความสามารถจะทำอะไรได้บ้าง

ถือเป็นการโชว์ศักยภาพของฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ

จะเรียกว่า pre-strike strike ก็ได้

แปลว่าเป็นการซ้อมเพื่อขู่อีกฝ่ายหนึ่งอย่าได้คิดจะทำ pre-emptive strike

ปัญหาหนักสำหรับอเมริกาก็คือเมื่อคิมน้อยประกาศชัดเจนอย่างนี้ (บอกด้วยว่าจะยิงขึ้นสูงเท่าไหร่ วิถีโค้งทางไหน ความเร็วเท่าไหร่ และประมาณเวลาได้ด้วย) สหรัฐจะยิงสกัดกั้นกลางอากาศหรือไม่?

หากสหรัฐปล่อยให้โสมแดงยิงจรวด 4 ลูกนี้ไปลงรอบ ๆ เกาะกวมจริง ก็จะเป็นการเสียหน้าอย่างยิ่ง

แต่หากทรัมป์สั่งให้กองทัพสหรัฐฯยิงสกัดกลางอากาศ ก็จะเท่ากับเป็นการเปิดศึกกลางหาวอย่างเปิดเผย จากนั้นทุกอย่างก็อาจจะหลุดจากการควบคุมของทุกฝ่าย

เรียกว่าเป็นการขยับเข้าสู่บริบทแห่งสงครามแล้ว

แต่หากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เกาหลีเหนือไม่ยิงขีปนาวุธไปลงเกาะกวมตามที่ประกาศเอาไว้อย่างแข็งกร้าว ก็จะถูกมองว่าเป็นเพียงแค่การคุยโม้โอ้อวดเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้อย่างที่โพนทะนาเอาไว้ หมดความน่าเชื่อถือ และจะถูกทรัมป์กดดันหนักต่อไป

แม้เกาหลีเหนือจะไม่ยิงขีปนาวุธไปลงรอบ ๆ เกาะกวม อเมริกาก็จะยอมให้สถานการณ์ปัจจุบันดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะทรัมป์และรัฐมนตรีกลาโหม, รัฐมนตรีต่างประเทศรวมไปถึงทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติได้ประกาศอย่างแข็งขันไว้ว่าจะต้องมีทางออกอะไรบางอย่างที่ทำให้เกาหลีเหนือยุติการทดลองขีปนาวุธต่อไป

ทางออกจึงต้องกลับมาที่จีนซึ่งได้รับปากกับทั้งสองฝ่ายว่าจะบอกอีกฝ่ายหนึ่งให้ยอมถอยก่อนที่จะเห็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ปลายถ้ำเพื่อนำไปสู่การเจรจา

จีนก็ชี้นิ้วไปที่ทั้งสองฝ่าย ขอให้ยุติ ถ้อยคำและการกระทำ ใด ๆ ที่จะทำให้ระดับความตึงเครียดถูกดันให้สูงขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่

ช่องทางเล็ก ๆ ที่สหประชาชาติสำหรับการพูดจาทางการทูตระหว่างสองฝ่าย (ทูตสหรัฐฯว่าด้วยกิจการเกาหลีเหนือที่ชื่อ Joseph Yun และทูตอาวุโสเกาหลีเหนือประจำยูเอ็นชื่อ Pak Song-il) ซึ่งเคยพูดจากันอย่างไม่เป็นทางการกันได้บ้างก็ดูเหมือนจะถูกปิดลงเพราะผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างซัลโวกันด้วยถ้อยคำดุเดือดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

สรุปว่าถึงวันนี้สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลียังคุกรุ่น อ่อนไหว และอะไร ๆ ก็ยังเกิดขึ้นได้!

(ล่าสุดคิมจองอึนบอกว่าจะ “ชะลอ” การยิงขีปนาวุธไปในน่านน้ำใกล้ ๆ เกาะกวมเพื่อดูว่า “มะกันงี่เง่า” จะเอายังไง เท่ากับเป็นการถอยดูเชิงเท่านั้น....ความเครียดยังไม่หายไปไหน)