Finland : ประเทศเล็กที่ยิ่งใหญ่ โอกาส SMEsไทย (จบ)

Finland : ประเทศเล็กที่ยิ่งใหญ่ โอกาส SMEsไทย (จบ)

ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย (สำหรับประเทศภายนอกยุโรป เป็นประเทศที่สองต่อจากสหรัฐอเมริกา)

ที่ได้รับรองรัฐฟินแลนด์ซึ่งได้ประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่6 ธ.ค.2460 โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่9 ต.ค.2462ต่อมาในปี2489ได้ยกระดับขึ้นเป็นความสัมพันธ์ในระดับเอกอัครราชทูต โดยเมื่อปี2523ได้เปิดสถานเอกอัครราชทูตในไทยระดับอุปทูติ และในปี2529ได้ยกระดับเป็นเอกอัครราชทูต 

ปัจจุบันมีคนไทยในฟินแลนด์ ประมาณ 10,000 คน มีร้านอาหารไทย 30 ร้าน มีวัดไทย 2 วัด ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ของทุกปี จะมีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่า ประมาณ 3,000 คน ชาวฟินแลนด์นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย เพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละประมาณ150,000 คน ซึ่งมีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับประชากร 5.4 ล้านคน โดยนิยมท่องเที่ยวประเภทชายทะเล เช่น ภูเก็ตหัวหิน

ธุรกิจร้านอาหารไทยเป็นธุรกิจที่โดดเด่นในฟินแลนด์ เนื่องจากได้รับความนิยมจากชาวฟินแลนด์มาก ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 10 ถึง 25 ยูโร ต่อจาน มีลูกค้าประมาณ 100 คน ต่อวันรายได้เฉลี่ยประมาณ1,250ยูโร 

ร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า จะมีลูกค้าประมาณ280คน มีรายได้เฉลี่ยถึงวันละประมาณ4,000ยูโร ในช่วงเทศการที่ชาวฟินแลนด์นิยมเดินทางออกนอกประเทศ (ระหว่างเดือนก.ค.-ส.ค. รวมทั้งช่วงคริสต์มาส) รายรับจะไม่คงที่ผู้ประกอบการจะต้องวางแผนสภาพคล่องของเงินทุนหมุนเวียนให้เหมาะสม

ธุรกิจนวดแผนไทย เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนน้อย คนไทยนิยมทำธุรกิจนี้เพราะมีค่าใช้จ่ายหลักคือค่าเช่าที่ ค่าบริการนวดประมาณ 35 ยูโร ต่อครึ่งชั่วโมง และ60ยูโร ต่อชั่วโมง ค่าบริการนวดน้ำมัน55ยูโร ต่อครึ่งชั่วโมง ค่าบริการนวดฝ่าเท้า30ยูโร ต่อครึ่งชั่วโมง ต้นทุนประกอบธุรกิจนวดแผนไทย ได้แก่ ค่าเช่าสถานที่ประกอบการ ประมาณ 700 ถึง 1,200 ยูโร ต่อเดือนเพียงแค่จัดตกแต่งห้องสำหรับให้บริการด้วยที่นอน โคมไฟ ผ้าม่านสวย ก็เปิดบริการได้ จึงเป็นธุรกิจทีน่าสนใจ เพราะนวดแผนไทยได้รับความนิยมมากในฟินแลนด์

ท่านผู้ประกอบการที่สนใจเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับบริษัทในฟินแลนด์ สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ที่www.finnpartnership.fi/matchmaking/registration จากนั้น กรอกข้อมูลและสแกนกลับไปยัง [email protected] พร้อมแนบหลักฐาน เช่น ข้อมูลทางการเงิน ประวัติของบริษัทและผู้บริหาร ทะเบียนการค้า สำเนาใบรับรองที่เกี่ยวข้องกับสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลการตรวจสอบบัญชี (ถ้ามี)

ความยิ่งใหญ่ของประเทศฟินแลนด์ไม่ใช่เป็นความบังเอิญหรือฟ้าลิขิต การเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี1992-1993วิธีการที่ยอดเยี่ยมของฟินแลนด์ในการบริหารจัดการช่วงวิกฤติเศรษฐกิจคือการให้ความสำคัญในนโยบายคุณภาพการศึกษาและการสร้างสรรค์นวัตกรรม จนเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด โดยPISA (Program for International Student Assessment)นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนทีมีคุณภาพที่สุดในโลกประเมินจากนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับของนักเรียนจำนวน65ประเทศ

ที่ฟินแลนด์ไม่เน้นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนอนุบาลไม่สำคัญเท่าเวลาจากครอบครัว นักเรียนตั้งแต่วัยเด็ก8เดือน ถึง5ปี จะมี Daycare มีสนามเด็กเล่นให้เด็กใช้วิ่งเล่นโดยผู้ปกครองสามารถเข้าเป็นเพื่อนเล่นได้ โดยให้บริการฟรี พ่อแม่ที่ไม่ต้องการส่งลูกไปที่ Daycare ก็สามารถจัดบ้านตัวเองเป็น Daycare โดยรัฐจะมีการจ่ายเงินสนับสนุน ที่ฟินแลนด์จะให้เด็กเริ่มเรียนเมื่ออายุ6-7ปี เด็กในวัยประถมศึกษา จะเรียนวันละไม่เกิน5ชั่วโมง ในขณะที่เด็กไทยเรียนกันแต่เช้ายันเย็น และต้องไปเรียนพิเศษต่อกันในตอนค่ำ ฟินแลนด์มองว่าการศึกษาคือการพัฒนาแต่ละบุคคล ไม่ใช่การแข่งขัน จึงไม่มีการให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวแบ่งแยกความภาคภูมิใจให้กับเด็ก

รูปแบบการศึกษาแบบ สหวิทยาการ (Interdisciplinary )ที่สอนเด็กนักเรียนในมุมมองของหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน เช่น เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่2จะสอนให้นักเรียนเข้าใจทั้งแง่มุมของประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ไปด้วย ทำให้สามารถตัดวิชาเรียนในระบบการศึกษาทั่วไปทั้งหมด อาทิเช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ ทั้งยังมีคอร์สที่ชื่อว่า “Working in Cafe”ให้เด็กทำงานในร้านคาเฟ่เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษ เศรษศาสตร์และทักษะการสื่อสารกับผู้คน เป็นการเรียนแบบลงสนามจริง ไม่มีการนั่งจำเจในห้องเรียนจนหมดวันอีกต่อไป

การพัฒนาการศึกษาอย่างจริงทำให้ได้ประชากรที่มีคุณภาพ รวมทั้งบรรดาผู้ประกอบการSMEsที่มีนวัตกรรมสูง จนเป็นประเทศเล็กที่ยิ่งใหญ่ได้ ที่ฟินแลนด์คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครูเพราะครูเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับไม่ต่างจากแพทย์หรือทนายความ

คุยกับคนไทยที่นั่นบอกว่ามีกลุ่มคนไทยทั้งจากภาครัฐ และเอกชนมาดูงานเรื่องการศึกษาบ่อยมาก แต่ระบบการศึกษาของเมืองไทยก็ยังไม่ดีขึ้น น่าเสียดายมากครับ.....