ภาษาอย่างนี้ คนมีสติไม่ใช้

ภาษาอย่างนี้ คนมีสติไม่ใช้

ภาษา Fire and Fury ของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อเกาหลีเหนือสร้างความฮือฮาไปทั่ว

บางคนบอกว่าศัพท์แรง ๆ อย่างนี้เคยเป็นพฤติกรรมของคิมจองอึนมากกว่าที่จะมาจากผู้นำสหรัฐ

อีกบางคนบอกว่าอ่านข้อความนี้แล้วนึกว่ามาจากคิมน้อยเล่นงานทรัมป์ ที่ไหนได้ ความจริงกลับตรงกันข้าม

นักวิเคราะห์ภาษาของประธานาธิบดีสหรัฐในอดีตบอกว่าสไตล์โฉ่งฉ่างแบบทรัมป์ไม่เคยมีมาก่อน

โดยเฉพาะเมื่อเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่อาจจะนำไปสู่การตีความผิดถึงขั้นก่อให้เกิดวิกฤติระดับโลก

ปกติผู้นำของประเทศที่พัฒนาแล้วจะพูดอะไรออกสู่สาธารณะจะต้องนิ่มนวลกว่าที่ตัวเองรู้สึก

เช่นหากมีความรู้สึกโกรธ 100% ก็จะพูดออกมาเพียง 60-70%

หรือถ้าจะสะท้อนความไม่พอใจจริงๆ ผู้นำสหรัฐก็จะส่งสัญญาณเป็นการส่วนตัวถึงผู้ที่เป็นคู่กรณี

เพราะการคิดอะไรแล้วโพล่งออกมาโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับคนรอบตัวที่ต้องทำหน้าที่ด้านต่าง ๆ เช่นการทูต, การเมืองและความมั่นคงนั้นย่อมจะเสี่ยงที่จะทำให้เรื่องที่เลวร้ายอยู่แล้วบานปลายกลายเป็นวิกฤตซึ่งย่อมไม่เป็นสิ่งอันพึงประสงค์

นิวยอร์กไทมส์ไปค้นเอกสารในอดีตก็พบว่าประโยคจากผู้นำสหรัฐในอดีตในภาวะสงครามเช่นแฮรี ทรูแมนประกาศให้ญี่ปุ่นยอมจำนนในสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ 1945 บอกว่า

หากญี่ปุ่นไม่ยอมยกธงขาวจะเกิดปรากฏการณ์ “….they may expect a rain of ruin from the air, the like of which has never been seen on this earth.”

หรือแปลตรงตัวว่า “หากไม่ยอมแพ้ พวกเขาก็คาดได้ว่าจะมีฝนแห่งหายนะร่วงลงจากฟ้า...อย่างที่โลกนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน”

อ่านข้อความนี้แล้วคงจะตีความได้ว่าทรัมป์ไปค้นประโยคของตัวเองจากประวัติศาสตร์

แต่สถานการณ์ขณะนั้นกับวันนี้แตกต่างกันทั้งในมิติการเมืองและความมั่นคงมากมายนัก

วันนั้น อเมริกามีแสนยานุภาพทางทหารเหนือญี่ปุ่นอย่างมาก และญี่ปุ่นไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง

แต่วันนี้ทรัมป์ประกาศวาทะรุนแรงอย่างนี้ต่อเกาหลีเหนือซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์และเพิ่งจะทดลองศักยภาพให้เห็นว่าพร้อมที่จะกดปุ่มเพื่อโจมตีแบบข้ามทวีปได้

ในช่วงวิกฤติขีปนาวุธคิวบา ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดีออกทีวีประกาศให้ผู้นำสหภาพโซเวียตขณะนั้นคือนิกิต้า ครุสชอฟ

“…to halt and eliminate this clandestine, reckless and provocative threat to world peace and to stable relations between our two countries…”

เสริมด้วย “…move the world back from the abyss of destruction…”

แปลตรงตัวก็เป็นการเตือนให้สหภาพโซเวียตระงับและยุติการคุกคามที่ปิดบังอำพรางและไร้ความรับผิดชอบที่เป็นภัยต่อสันติภาพโลกและความสัมพันธ์ระหว่างเราสองประเทศ..."

ไม่มีศัพท์แสงอะไรที่ขู่ว่าจะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่งด้วยแสนยานุภาพทางทหารอย่างดุเดือดรุนแรงอย่างที่ทรัมป์แสดงออกจนสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว

ใช่...คิมจองอึนมักใช้คำขู่ที่มาดราม่ามาตลอด เช่น จะทำลายอเมริกาให้กลายเป็นผุยผง หรือล่าสุดก็ขู่ว่าจะโจมตีให้ “ไฟท่วมรอบๆ เกาะกวม”

แต่นั่นคือมาตรฐานของผู้นำเกาหลีเหนือที่คนฟังแล้วไม่เชื่อว่าจะทำจริง

มาวันนี้ ทรัมป์กำลังลดตัวไปใช้ภาษาเดียวกับคิม...กลายเป็นสองคนที่ถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน

คือเป็นนักเลงหัวไม้ที่คุยโม้โอ้อวดอยู่ปากซอย แต่ในมือมีระเบิดที่อาจจะตูมตามขึ้นมาทำร้ายชาวบ้านคนอื่นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้!