ครอบครัว กับ การเมือง

ครอบครัว กับ การเมือง

ครอบครัว กับ การเมือง

โดนัล ทรัมพ์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดีได้เพียง 6 เดือน ก็มีเรื่องราวต่างๆมากมาย ที่ทำให้เขาสูญเสียคะแนนนิยมอย่างต่อเนื่อง ผลการสำรวจของ CBS News เมื่อเดือนมิถุนายน คะแนนนิยมของเขาเหลือเพียง 36% เท่านั้น

เรื่องราวของเขา หรือที่เกีี่ยวกับครอบครัวของเขา ที่ทำให้เกิดข้อครหานั้นมีมากมาย แต่วันนี้ผมขอนำมากล่าวเพียงเรื่องเดียว คือเรื่องของ “ลูกเขย” ที่มีนามว่า Jared Kushner

คนทั้งโลกรู้ว่า เมลาเนีย ทรัมพ์ ภรรยา และ อิวังก้า ทรัมพ์ บุตรสาวคนโตของเขา เป็นคนที่สวยมากทั้งคู่ สำหรับ อิวังก้า นั้น เธอสมรสกับ จาเรด คุชเนอร์ ชายหนุ่มหน้าตาดี และฐานะดี เขามาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์

เมื่อทรัมพ์ เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ สังคมก็จับตาว่าทรัมพ์ จะแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวทางธุรกิจ กับผลประโยชน์ของชาติ ได้อย่างไร ซึ่งก็ถูกติติง อยู่ยาวนานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทรัมพ์เริ่มต้นด้วยการแต่งตั้งทั้ง อิวังก้า ทรัมพ์ และ จาเรด คุชเนอร์ ให้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ในทำเนียบขาว

อิวังก้า นอกจากสวยมาก ยังเรียนเก่งอีกด้วย และเป็นนักพูดที่เฉียบคม เธอสำเร็จการศึกษาจาก Wharton ส่วน จาเรด สำเร็จปริญญาตรีจาก Harvard และปริญญาโท จาก NYU ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธในความรู้ ของทั้งสองคนนี้

แต่เมื่อ อิวังก้า เข้ามามีตำแหน่ง “ที่ปรึกษา” และ จาเรด เป็น “ที่ปรึกษาอาวุโส” ของประธานาธิบดี และเข้ามามีส่วนสำคัญ ในการดำเนินนโยบายภาครัฐ รวมทั้งนโยบายต่างประเทศด้วย ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกอึดอัดใจ ว่าครอบครัวธุรกิจ ที่บังเอิญได้อำนาจรัฐในขณะนี้ จะแยกแยะผลประโยชน์ครอบครัว กับ ผลประโยชน์ของชาติ ออกจากกันได้จริงหรือไม่

จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า บทบาทของหนุ่มสาวคู่นี้ ถูกจับตามอง และถูกสะกิด มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งหลังสุดนี้ น่าสนใจ เมื่อเป็นข่าวในช่วงเดือนพฤกษาคม 2560 ว่า ครอบครัวของ จาเรด ได้นำเขาไปเป็นเครื่องมือ ในการหาประโยชน์ทางธุรกิจ

เรื่องมีอยู่ว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ชื่อ Kushner Companies ซึ่งเป็นของครอบครัวจาเรด คุชเนอร์ และจาเรด ก็เคยเป็น ซีอีโอ ที่นี่มาก่อน ได้พัฒนาโครงการอพาร์ทเม้นท์หรู มีชื่อว่า “OneJournal Square”ที่รัฐนิว เจอร์ซี่ และเริ่มประกาศขาย เหมือนโครงการทั่วๆไป

เมื่อต้นเดือนพฤกษาคม 2560 Nicole Kushner น้องสาวของจาเรด ได้นำโครงการนี้ไปขายให้แก่นักลงทุนชาวจีน ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง และชักชวนให้พวกเขา มาซื้ออพาร์ทเม้นท์ในโครงการ One Journal Square ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆก็รู้ว่า คนจีนรวยมาก

แต่ที่เป็นประเด็นก็คือ อเมริกา มีกฏหมายเรื่อการออกวีซ่า ให้แก่นักลงทุนชาวต่างชาติ ที่เรียกว่า EB-5 Investor Immigrant Visa ซึ่งระบุว่านักลงทุนต่างชาติรายใด นำเงินมาลงทุนในอเมริกาอย่างน้อย $500,000 จะมีสิทธิ ขอวีซ่า เพื่อย้ายถิ่นฐานเข้าพำนักในอเมริกา” ประเภทนักลงทุน

ใครมีเงิน ก็มีโอกาส ว่างั้นเถอะ แต่ประเด็นหักเหก็คือ น้องสาวของจาเรด ได้ประกาศในการเปิดตัวว่า “จาเรด ที่ปรึกษาอาวุโส ของประธานาธิบดี ก็เคยเป็น ซีอีโอ ของที่นี่มาก่อน” นอกจากนั้น ในเว็บไซด์ส่งเสริมการขายที่เป็นภาษาจีน ยังมีข้อความที่แปลออกมาได้ว่า “จาเรด เป็น คนหนุ่มที่เพอร์เฟค ที่สุด” นอกจากนั้นยังประกาศ ให้รีบซื้อ ก่อนที่กฏหมายเรื่องวีซ่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

แถมยังมีประโยคเด็ดว่า ครอบครัวคุชเนอร์ ก็เป็นครอบครัวที่อพยพ ย้ายถิ่นฐานไปอยู่อเมริกาเหมือนกัน จนกระทั่งร่ำรวย ได้ดิบได้ดีอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ฉะนั้น จะรอช้าอยู่ใย รีบไปสร้างอนาคตของครอบครัวท่านที่นั่นกันเถอะ.....

ก่อนทรัมพ์ เป็นประธานาธิบดี จาเรด ก็เคยทำโครงการแบบนี้ให้ทรัมพ์มาแล้ว จนสามารถระดมเงินจากนักลงทุนต่างชาติได้ถึง $50 ล้าน เมื่อ จาเรด เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว จึงได้ลาออกจากบริษัทต่างๆของครอบครัว เพื่อให้พ้นข้อครหา

แต่น้องสาวของเขา กลับทำให้เป็นประเด็นจนได้ เพราะวิธีของเธอ ถูกตีความว่า ใช้การอ้างอิงถึง จาเรด เพื่อทำให้นักลงทุนเชื่อว่า บารมีของเขาจะทำให้นักลงทุนชาวจีนที่ลงทุนในโครงการนี้ มีโอกาสได้รับวีซ่าเพื่อการย้ายถิ่นฐาน ได้ง่ายขึ้น

ต่อมาบริษัท Kushner Companies ได้ออกมาขอโทษว่า มิได้มีความตั้งใจเช่นนั้น ซึ่งถ้าคิดแบบคนไทย ที่คุ้นเคยกับเรื่องราวทำนองนี้มาตลอดชีวิต ผมว่าคนไทย หรือแม้แต่คนอเมริกัน ที่จะเชื่อว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่” นั้น น่าจะมีจำนวนน้อยมาก

ไม่ว่าประเทศใดก็ตาม นักการเมือง ที่นำคนในครอบครัว และผลประโยชน์ของครอบครัว เข้าไปโยงใยกับการใช้อำนาจรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่เคยเห็นว่าจะอยู่ได้อย่างยั่งยืนสักราย ประวัติศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่า เป็นเรื่องของ “เวลา” เท่านั้น จะไปช้าหรือเร็ว แม้บางคนอาจอยู่ได้ยาวนานนับสิบๆปี แต่ถึงวันหนึ่งสังคมก็รับไม่ได้ และต้องจบลงไป อย่างไม่สวยงามในที่สุด

ถึงแม้คะแนนนิยมของทรัมพ์ ได้ลดต่ำลงอย่างน่าใจหายมากแล้ว แต่สองวันที่ผ่านมา ก็มี ปัจจัยแทรกซ้อน เข้ามาอีก เพระ คิม จอง อุน ทำให้ทรัมพ์โกรธสุดๆ เขาประกาศกร้าวว่า ถ้าคิม ทำอะไรมากไปกว่านี้ ก็จะได้เห็น “ไฟนรก ที่โลกนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน”

ภาวะของทรัมพ์ตอนนี้ จึงดูหมิ่นเหม่มากยิ่งขึ้น ก็ต้องจับตาดูให้ดี ว่าจะเกิดอะไรตามมา และจะทำให้คะแนนนิยมของทรัมพ์ ตกต่ำลงไปกว่านี้ อีกหรือไม่

แต่ที่แน่ๆก็คือ เรื่องราวของจาเรดและคนในครอบครัว สอนว่า ใครที่มีอำนาจ ถ้าหากแยกครอบครัวออกจากการเมืองได้อย่างเด็ดขาด ก็จะเป็นการลดความเสี่ยง ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง

ที่ผ่านมาหลายสิบปี บางราย...ก็ยังเสี่ยงกันอยู่นั่นแหละ