ประวัติศาสตร์สเปน

ประวัติศาสตร์สเปน

Visigoths เป็นชนเผ่าจากภาคใต้ของฝรั่งเศสที่ค่อย ๆ ขยายอำนาจเข้าไปในสเปนในศตวรรษที่ 6

จนกระทั่งสามารถครอบครองอาณาบริเวณสเปนในปัจจุบันทั้งหมดในศตวรรษที่ ความขัดแย้งภายในชนเผ่านี้เอง ระหว่างชนเผ่านี้กับชนพื้นเมือง และ ระหว่าง Arians กับคาทอลิก เชิญชวนให้พวกอาหรับในทวีปอัฟริกาข้ามทะเลเข้ามาในสเปนเมื่อปี 711 จนสามารถขยายอำนาจไปทั่วในสเปนและข้ามเข้าไปบริเวณที่เป็นฝรั่งเศสปัจจุบัน มีเมืองหลวงที่ Toledo อาหรับพวกนี้เป็นเชื้อสายราชวงศ์ Umayyad ที่ขยายอำนาจจากซีเรียเข้ามาบริเวณริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของอัฟริกาทั้งหมด ผู้ที่สามารถทำการปกครองของอาหรับให้มีเสถียรภาพในสเปนคือ Abd-al-Rahman ซึ่งย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ Cordoba

อำนาจของอาหรับปกคลุมทั่วสเปน ยกเว้นเพียง Asturias ทางเหนือ จนกระทั่ง Granada ถูกตีแตกในปี 1492 ภายหลังจากความพยายามของฝ่ายคริสเตียนที่จะยึดอำนาจคืนมาตลอด พระราชวัง Alhambra ใน Granada ปัจจุบันคือประจักษ์พยานแห่งศิลปะมุสลิมช่วงสุดท้าย

การสมรสระหว่างเจ้าหญิง Isbella แห่ง Castile และเจ้าชาย Ferdinard แห่ง Aragon ในปี 1469 มีนัยสำคัญต่อดุลแห่งอำนาจของฝ่ายคาทอลิกในสเปน พวกเขาได้รับอาญาสิทธิ์จากโป๊ปให้เริ่ม Inquisition หรือการไล่ชาวยิวออกจากสเปน ซึ่งก็ตามมาด้วยการไล่ชาวมุสลิมด้วยในที่สุด

ในปี 1492 Columbus ได้พยายามชักชวน Isbella กับ Ferdinand ให้สนับสนุนการเดินเรือไปทางตะวันตกเพื่อไปยังจีนกับอินเดียและได้รับความเห็นชอบ Columbus ออกเดินทางในปี 1492 ด้วยเรือ Santa Maria, Pinta และ Nina และไปถึงหมู่เกาะ Bahamas ในปีเดียวกัน หลังจากนั้นพบ Cuba ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นญี่ปุ่น การเดินทางของ Columbus ทำให้ชาติอื่นในยุโรปทำตามโดยเฉพาะโปรตุเกส จนกระทั่งสองประเทศต้องเจรจากันแบ่งเขตสำรวจกันที่เส้นแวง 370 Leagues จาก Cape Verde Island ที่เรียกว่า Tordesillas Line และเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมโปรตุเกสจึงมีเพียงบราซิลที่เป็นอาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้

กษัตริย์ Ferdinand II สิ้นพระชนม์ในปี 1516 และราชินี Isbella ในปี 1504 ความสมดุลย์ของยุโรปเปลี่ยนแปลงไปเมื่อพระราชธิดา Joan ได้อภิเษกกับราชวงศ์ Habsburg ของออสเตรีย เมื่อ Ferdinand สิ้นพระชนม์ Joan จึงกลายเป็นรัชทายาทของสเปน ซึ่งกลายเป็นเพชรเม็ดงามของ Habsburg โดยทันที แต่พระองค์ทรงโปรดให้ราชโอรส Charles ขึ้นครองราชย์ เป็น Charles I ของสเปน ในขณะเดียวกันก็เป็น Charles II ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพระอนุชาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ Ferdinand ของออสเตรีย หลังจากนั้น Habsburg ขัดแย้งในเรื่องอิตาลีกับเนเธอแลนด์ ส่วนสเปนขัดแย้งกับฝรั่งเศส

ในระหว่างทศวรรษที่ 1520-1540 ฝรั่งเศสรบกับออสเตรียหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ ปี 1509 กษัตริย์ Henrry VIII แห่งอังกฤษ ทรงอภิเษกกับเจ้าหญิง Catherine แห่ง Aragon พระราชธิดากษัตริย์สเปน แม้ว่าการอภิเษกจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ Mary พระราชธิดาของ Catherine ก็ได้เป็นราชินีของอังกฤษ Charles V เสนอพระราชโอรส Philip ให้อภิเษกกับราชินี Mary โดยทันที แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนอังกฤษ

หลังจากที่ Charles V ปกครองราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้งออสเตรียและสเปนมาได้ 40 ปี พระองค์ทรงสละราชสมบัติในปี 1555 ให้แก่พระราชโอรสทรงพระนามว่า Philip II เป็นกษัตริย์สเปน ซึ่งรวมถึงเนเธอร์แลนด์ อิตาลี และดินแดนในอเมริกาด้วย และ ทรงสละตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิให้กษัตริย์ Ferdenand แห่งออสเตรีย พระอนุชา

Philip II พยายามแผ่อิทธิพลเข้าไปในอังกฤษ ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนา และ ทางการเมืองให้อังกฤษเป็นกลางในอันที่สเปนจะแล่นเรือผ่านช่องแคบอังกฤษไปยังเนเธอร์แลนด์ อันเป็นดินแดนภายใต้ปกครอง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ราชินี Elizabeth ของอังกฤษยึดทองคำบนเรือของสเปนที่ไปยังเนเธอร์แลนด์ก็ยังเกิดขึ้น อีกทั้งอังกฤษยังสนับสนุนกบฏในเนเธอร์แลนด์ ทำการปล้นอาณานิคมต่าง ๆ ในลาตินอเมริกา และ ทำการเผากองเรือรบของสเปนในเมืองท่า Cadiz ของสเปนเอง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้สเปนเป็นปฏิปักษ์กับอังกฤษอย่างรุนแรง การรบทางเรือครั้งสำคัญระหว่างสเปนกับอังกฤษจึงเกิดขึ้นในปี 1588 และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของสเปนที่สูญเสียกองเรือ Armada ไปครึ่งหนึ่งของ 130 ลำ ส่วนอังกฤษไม่สูญเสียแม้แต่ลำเดียว

Philip III สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา Philip II ในปี 1598 ต่อมา Philip III ประกาศขับไล่พวกมัวส์หรือมุสลิมที่ยังคงแต่งกายและดำเนินขนบธรรมเนียมแบบมุสลิมออกจากสเปนในปี 1609 เป็นจำนวนกว่า 300,000 คน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งทางช่างและเกษตรกรรม

ศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงเวลาที่วรรณกรรมและศิลปะในสเปนขึ้นถึงจุดสูงสุด Philip II ปกครองบริหารบ้านเมืองด้วยตนเอง แต่ Philip III และ IV ปกครองผ่านผู้ใกล้ชิด การอภิเษกระหว่างกษัตริย์สเปนกับเชื้อสายที่ใกล้ชิดใน Habsburg บ่อยครั้ง ทำให้ทายาทที่เกิดขึ้นเสียชีวิตแต่ยังเยาว์วัย หรือไม่ก็ สุขภาพไม่ดี Chales II ที่สืบต่อจาก Philip IV ไม่มีทายาท และสิ้นพระชนม์ในปี 1700 หลานของพระเจ้า Louis XIV เชื้อสายฝรั่งเศสได้ขึ้นครองราชย์เป็น Philip V ทำให้ฝ่ายที่ใกล้ชิดพระราชวงศ์ Habsburg ไม่ยอมและเกิดสงครามแย่งชิงราชสมบัติขึ้น ในที่สุด Philip V ได้รับชัยชนะคงเหลือแต่แคว้น Catalonia ซึ่งมีแนวโน้มที่จะประกาศเอกราชมาโดยตลอด นอกจากนี้ ดินแดนเนเธอร์แลนด์และอิตาลีกลับคืนสู่ Habsburg แน่นอน อาณานิคมในอเมริกายังคงอยู่กับสเปน พระราชวังในกรุงมาดริด ที่ Philip V ทรงดำริให้สร้างในปี 1736 คงเป็นประจักษ์พยานได้ถึง ความมั่งคั่งของราชอาณาจักรสเปนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงสุด โชคดีที่การก่อสร้างพระราชวังนี้เสร็จสิ้นก่อนที่สเปนจะสูญเสียอาณานิคมไปทั้งหมด

ในรัชสมัยของ Philip V ประเทศอื่น ๆ มักจะแอบลักลอบค้าขายในดินแดนอาณานิคมของสเปนในอเมริกาจนกระทั่งเกิดสงครามกับอังกฤษในทะเลคาริเบียน หลังจากนั้น ฝรั่งเศสพยายามชี้ชวนสเปนด้วยสายเลือดให้เป็นพันธมิตรในการทำสงครามจนกระทั่งต้องเสียดินแดนฟลอริดาในปี 1761 หลังจากนั้น สเปนที่เคยมีบทบาทสำคัญในยุโรปในศตวรรษที่ 16-17 ก็เริ่มมีบทบาทที่อ่อนลง แต่อาณานิคมในอเมริกายังคงอยู่ในสภาพดีเป็นส่วนใหญ่ Charles III ซึ่งครองราชย์ต่อมาได้ผ่อนคลายนโยบายการค้าในอาณานิคมให้เปิดกว้างมากขึ้นจนกิจการค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก โดยขยายตัวขึ้นหลายร้อยเปอร์เซนต์ ในเวลาต่อมาสเปนทำสงครามกับอังกฤษอีกในฐานะพันธมิตรของฝรั่งเศสที่สนับสนุนฝ่ายประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาและได้ Minorca กับ Florida กลับมา

ในปี 1788 Charles IV ขึ้นครองราชย์ในปี 1793 สเปนทำสงครามกับฝ่ายสาธารณรัฐของฝรั่งเศสและเสีย Santo Domingo ตั้งแต่ปี 1796 สเปนทำสงครามกับอังกฤษอีกหลายครั้งจนสูญเสีย Trinidad และ Minorcaนอกจากนี้ ยังเสีย Louisiana แก่ Napoleon ในปี 1800 ในระหว่างที่ สเปนทำสงครามกับอังกฤษในระหว่างปี 1798-1808 อยู่นั้น กองทัพเรืออังกฤษปิดกั้นสเปนไม่ให้เข้าถึงอาณานิคมทั้งหมดในอเมริกา อังกฤษและเนเธอร์แลนด์จึงเข้ามาค้าขายแทนและทำให้อาณานิคมต่าง ๆ มีอิสรภาพจากสเปน

ปี 1808-1809 เป็นช่วงเวลาที่นโปเลียนวุ่นวายอยู่ในสเปนเพื่อทำการตีโปรตุเกส ประชาชนสเปนเกิดการต่อต้านฝรั่งเศสอย่างกว้างขวางจนเกิดเป็นฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ในที่สุดฝ่ายเสรีนิยมได้ชัยชนะและร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 1812 ที่ประกอบด้วยลักษณะของกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบอังกฤษและแนวคิดอุดมคติแบบอเมริกันและฝรั่งเศส กษัตริย์ Ferdinand VII ได้รับความยินยอมให้กลับมาในปี 1814 โดยมีข้อแม้ให้ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 1812

Ferdinand VII กลับมากำจัดฝ่ายตรงข้ามจนเกิดการคัดค้านในอาณานิคมต่าง ๆ และพระองค์เตรียมส่งกองทัพไปปราบความไม่สงบจนเกิดการปฏิวัติอีกครั้งในปี 1820 แต่เขาได้รับความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสและกลับมากำจัดฝ่ายตรงข้ามอีกจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1833 หลังจากนั้น ราชวงศ์แยกออกเป็นสองฝ่ายระหว่างแคว้น Basque กับ Catalonia จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในระหว่างปี 1833-1876 (แคว้น Basque กับ Catalonia ยังคงเป็นปัญหาจนทุกวันนี้) ความวุ่นวายยังคงมีอยู่ต่อไปภายใต้กษัตริย์ Alfonso XII สงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกาในปี 1898 ทำให้สูญเสีย Philippines กับ Cuba & PuertoRico สองอาณานิคมสุดท้าย

สาธารณรัฐครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 1931 กษัตริย์ Alfornso XIII ออกจากประเทศไป หลังจากนั้นสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นอีกในช่วงปี 1936-39 จนกระทั่งนายพลฟรังโก ได้ชัยชนะเด็ดขาดในปี 1939 และปกครองสเปนในรูปเผด็จการเรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1975 Juan Carlos I ได้กลับมาเป็นกษัตริย์ตามกฎหมายที่ระบุไว้ในขณะนั้น