ทิศทางที่น่ากังวลของภาคการเกษตรและเศรษฐกิจของไทย

ทิศทางที่น่ากังวลของภาคการเกษตรและเศรษฐกิจของไทย

มนตรี บุญจรัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด(ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)

ประเทศไทยตอนนี้เราอยู่ตรงไหน คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามที่หลายท่านอยากรู้!!!เพราะว่าโครงการต่างๆที่ภาครัฐกำลังเร่งให้ไปสู่“ไทยแลนด์4.0” นั้นเริ่มขยับขยายเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังช่วงต่อขยาย โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส2เฟส3โครงการขยายสนามบินดอนเมือง โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ที่จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 10 ล้านคนในช่วงต่อไป 

รวมทั้งจะเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรด้านการบินและศูนย์การซ่อมบำรุงอากาศยานที่สำคัญสุดของอาเซียน โครงการพัฒนาท่าเรือจุกเสม็ดที่สัตหีบ ให้เป็นท่าเรือที่สามารถรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่และเรือเฟอร์รี่ ที่จะเชื่อมโยงภาคตะวันออกของไทยไปยังหัวหิน ชะอำในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษ รวมถึงเชื่อมโยงไปยังกรุงเทพฯ โครงการสร้างรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ที่จะเชื่อมระยองและท่าเรือแหลมฉบังเข้ากับกรุงเทพ และในภาคส่วนอื่นๆ ของประเทศ ตลอดจนโครงการสร้างทางหลวงต่างๆ ในส่วนที่ยังขาดหายไปให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยมูลค่าการลงทุนหลายล้านๆบาท 

จากคำถามข้างบน ก็อยากจะตอบว่าเรายังย่ำอยู่ที่เดิมโดยมองหรือสังเกตจากภาวะเศรษฐกิจสังคมรอบๆ ตัวเราในปัจจุบัน ที่ถึงแม้สินค้าเกษตรจะมีราคาตกต่ำ แต่ก็ยังไม่มีคนซื้อ (ถามพ่อค้าแม่ค้าที่รับผลิตผลจากเกษตรกรมาส่งตลาดไทได้ครับ) สินค้าตามห้างสรรพสินค้าที่มีแต่คนเดินชม แต่ไม่ซื้อ หรือบางห้างแถวๆรังสิต ที่ในอดีตแสดงถึงพลังเรื่องคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี แต่ปัจจุบัน ดูรกร้างว่างเปล่า แตกต่างจากเมื่อ 4 -5 ปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง หรือจะมองภาพรวมๆ โดยดูจากการเติบโตของGDPที่โตเพียง1 – 2เปอร์เซ็นต์กว่าๆ มาหลายปีก็ถือว่าต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว 

การตอบแบบนี้ก็เกรงว่าจะเป็นการมองโลกในแง่“ลบ”กับรัฐบาลมากเกินไป แต่ถ้าจะให้ตอบว่าดีเหลือล้นก้าวล้ำนำสมัยเหลือหลาย ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ยังไม่น่าจะใช่ ดังนั้นถ้าจะให้สรุปฟันธงแบบง่ายๆ ก็ยังคงต้องฝ่าฟันต่อไปน่าจะอีก5-10ปีก็เป็นได้ เพราะในยามนี้ประเทศของเรานั้นยังก้าวไม่พ้นกับดักของความยากจน หรือกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง (รายได้ต่อคนของประชากรอยู่ที่ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่เราก็ยังมีความหวังว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะไปถึงเส้นชัย จากนโยบายต่างๆของรัฐบาลในปัจจุบัน จะช่วยให้เราก้าวเข้าไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว 

สำหรับอาชีพต่างๆ ในอนาคตอาจจะมีการ“เปลี่ยนแปลง”ต้องรีบปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งคาดว่ามีหลายอาชีพ อาจจะล้มหายตายจากไปในระยะเวลาอันสั้นนี้อย่างแน่นอน การเพาะปลูกแบบเดิมๆ การค้าขายสินค้าทั่วไปหรือสินค้าเกษตรแบบเดิม (ไม่แปรรูป ไม่เพิ่มมูลค่า ไม่มีเว็บไซต์ ไม่ใช้เฟซบุ๊คช่วยทำตลาด) การดำรงชีวิต (Life Style) แบบเดิมๆ จะพลาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงทรัพยากร และมีสิทธิ์ตกขบวนรถไฟสาย4.0นี้อย่าแน่นอน

การเชื่อมโยงของโลกจะเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็วโดยอินเตอร์เน็ต และระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ถนนที่มีจำนวนเลนส์มากขึ้น ใช้รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ความเจริญที่กระจายไปตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศอาเซียน ตามเส้นทางโลจิสติกส์สมัยใหม่ การกระจายตัวของเมือง ความเจริญมั่งคั่งจะออกจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล คืบคลานไปยังภูมิภาคอื่นๆมากขึ้น โลกแห่งดิจิตอลจะเข้ามาแทนที่ 

การแลกเปลี่ยนด้วยธนบัตรเงินตราจะค่อยถูกยกเลิก การเกษตรจะเน้นแปลงที่มีขนาดใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีเครื่องจักรสมัยใหม่ วิธีการดูแลบำรุงรักษาเกี่ยวกับโรคแมลงศัตรูพืช มีการใช้“โดรน”สำรวจตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้น รวมถึงโรคแมลงแทนที่มนุษย์ แถมระบบเซ็นเซอร์ต่างๆที่ติดตั้งกับ“โดรน”นี้สามารถส่งข้อมูลกลับมายังเซิร์ฟเวอร์เพื่อเตือนและเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้ตลอด24ชั่วโมง ช่วยให้แก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที 

ความเปลี่ยนแปลงต่างๆเหล่านี้ยังไม่นับรวมความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในเรื่องของ“โลกร้อน”ที่ไม่นานมานี้มีข่าวแผ่นน้ำแข็งใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกขนาดใหญ่ 50 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชั้นน้ำแข็งลาร์เซน ซี (Larsen C)ที่ขั้วโลกใต้ กำลังจะแตกตัวออกจากแผ่นดินทวีปแอนตาร์กติกาแล้ว โดยยังเหลือผืนน้ำแข็งส่วนที่ยังเชื่อมต่ออยู่เพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น 

เรื่องนี้บ่งบอกถึงอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลงและเลวร้าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตภาคการเกษตรเกี่ยวกับ ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม (เอลนีโญ-ลานีญา) โรคแมลงศัตรูพืชที่ระบาดรุนแรง เช่น ช่วงปี2552-2554เกิดระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลไปทั่วประเทศ อุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลงเพียง 1-2องศา ล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งทุกท่านควรเอาใจใส่ และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

 การให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องลดการใช้สารพิษในภาคการเกษตรที่ดูจะเชื่องช้าจากหน่วยงานที่กำกับดูแล โดยสังเกตจากตัวเลขการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรของสำนักงานเศรษฐกิจภาคการเกษตรที่ในแต่ละปียังคงสูงเป็นหลักหมื่นถึงสองหมื่นล้านบาท ทั้งๆที่รัฐบาลของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ส่งเสริมให้เดินตามแนวทางเกษตรพอเพียง เกษตรทฤษีใหม่ และโครงการเกษตรปลอดภัยไร้สารพิษออกมาอย่างมากมาย แต่ล่าสุดรายงานสรุปการนำเข้าวัตถุอันตรายทางการเกษตรปี 2559 ก็ยังมียอดการนำเข้าอยู่ที่ 20,577,925,471.87 บาท ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากปีก่อนๆ อย่างมีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด

ปัญหาหรือสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อประชาชนและพี่น้องเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในโลกอนาคตนั้น ผู้คนชนทั่วโลกต้องการสิ่งที่เรียกว่า“สะอาดปราศจากมลพิษ”และ“ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”(Green & Clean)ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพ(Healthy)นวัตกรรม(Innovation)เทคโนโลยี(Technology)พลังงานสะอาด(Green Energy)การโฆษณาค้าขายออนไลน์(Ecommerce)อินเทอร์เน็ตGoogle Facebook (Internet Network, Social Network)การชำระค่าสินค้าโดยไม่ใช้ธนบัตร(Bit Coin)กิจกรรมที่ก่อให้เกิดโลกร้อน คาร์บอนเครดิต(Carbon footprint)ความคุ้มค่าของการใช้น้ำ(Water Footprint)เป็นต้น

สิ่งต่างๆเหล่านี้คือ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่จะทำให้เราๆ ท่านๆ ต้องตระหนักได้ว่าเรายืนอยู่ตรงไหน?”และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าได้หรือไม่ และถ้าไม่ได้ ยังไม่เข้าใจ จะทำอย่างไรเป็นโจทย์ที่น่ากลุ้มใจ น่ากังวลไม่น้อย โดยเฉพาะ รัฐบาล”