ตลาดหุ้นไหนน่าลงทุน...

ตลาดหุ้นไหนน่าลงทุน...

ตลาดหุ้นไหนน่าลงทุน...หลัง Fed, ECB ถอนนโยบายผ่อนคลาย

ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ธนาคารกลางที่สำคัญของตลาดโลกได้ส่งสัญญาณหมดยุคนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทั้งจากฝั่งสหรัฐอเมริกาที่นาง Janet Yellen ก็ได้ออกมาย้ำหลายครั้งว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะเริ่มดำเนินการลดขนาดงบดุลภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือนกันยายน รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม

ส่วนฝั่งยุโรปที่ธนาคารกลางของยูโรโซนหรือ ECB ก็น่าจะเริ่มทยอยลดการกระตุ้นเศรษฐกิจลง โดยเราคาดว่า ECB จะประกาศลดอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ผ่านมาตรการ QE ลงจากปัจจุบันที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เหลือ 4 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ซึ่งก็คาดว่าจะประกาศในเดือนกันยายนนี้เช่นกัน แต่จะให้เริ่มมีผลตั้งแต่ต้นปี 2018 เป็นต้นไป นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายที่ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกใช้เพื่อผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอมาโดยตลอด นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 เพราะปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้เติบโตจนทำให้เงินเฟ้อขยับขึ้นมาตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทำให้การลงทุนในช่วงนี้ตลาดหุ้นที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจว่าจะออกมาไม่ดีกลับออกมาดีกว่าที่คาด นั่นคือ ตลาดหุ้นจีน ที่ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ได้ขยายตัวมากกว่าที่คาดไว้ โดยเติบโตที่ 6.9%YoY เท่ากับไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตชะลอตัวเล็กน้อยที่ 6.8%YoY ก่อนหน้านี้ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ก็ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจจีนปีนี้เป็น 6.7%จากระดับคาดการณ์เดือนเมษายนที่ 6.6% ​ สะท้อนมุมมองเศรษฐกิจจีนที่น่าจะเติบโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีตัวเลขการส่งออกที่ออกมาดี จากยอดสั่งซื้อสินค้าของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่เศรษฐกิจเติบโต รวมถึงการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวในอัตราเร่งมากขึ้น

ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มกลับมาพูดถึงตลาดหุ้นจีนและให้ความสนใจในการลงทุนในหุ้นจีนกันมากขึ้น ซึ่งจริงๆตลาดหุ้นจีนก็มีจุดที่น่าสนใจที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมามองก็คือ ทาง MSCI ตัดสินใจนำหุ้น A-Shares เข้าคำนวณในดัชนี ในการพิจารณาครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและจะเริ่มนับรวมอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมปี 2018 ซึ่งมีผลดังนี้

1. จะมีหุ้นจำนวน 222 ตัว ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สามารถซื้อขายผ่านทางเชื่อมกับตลาดฮ่องกงได้ จะถูกรวมเข้าในดัชนี MSCI

2. น้ำหนักหุ้น A-shares ในดัชนี MSCI Emerging Market จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.73%

3. เริ่มต้นนับรวมในดัชนี MSCI จะแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ เดือนพฤษภาคมปี 2018 ที่ Inclusion Factor ที่ 2.5% ซึ่งน้ำหนักหุ้น A-shares ใน MSCI EM จะอยู่ที่ 0.37% และเดือนสิงหาคม 2018 ที่ Inclusion Factor ที่ 5% ซึ่งน้ำหนักหุ้น A-shares จะอยู่ที่ 0.73%

แม้ว่าจะดูน้ำหนักที่ MSCI เพิ่มการคำนวณรวมหุ้นจีนไปไม่มากแต่ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อความพยามเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายของจีน ซึ่งที่ผ่านมาที่ได้เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อขายหุ้นในตลาด Shanghai และ Shenzhen ผ่านทางเชื่อมกับตลาดฮ่องกง (Shanghai-Hong Kong StockConnect, Shenzhen-Hong Kong StockConnect) ที่ทางการจีนได้เปิดเชื่อมไปเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ถ้าดูตลาดหุ้นจีนช่วงนี้ ด้าน Valuation ของดัชนี H-shares ซื้อขายที่ Forward P/E ประมาณ 8 เท่ากว่า ถือได้ว่าค่อนข้างถูกและยังมี Upside ให้เข้าลงทุนได้ แม้ว่าครึ่งปีหลังสภาพคล่องในตลาดจะเริ่มลดลงหลังจากธนาคารกลางต่างๆเลิกนโยบายผ่อนคลายในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้เป็นต้นไป แต่เศรษฐกิจที่รัฐบาลจีนมุ่งมั่นให้เติบโตให้ได้ปีนี้ตามเป้าหมายที่ 6.5% ก็ยังอยู่ระดับสูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกและยังมี Story ที่น่าสนใจของ MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนในดัชนี MSCI Emerging Market อีกด้วย

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] ครับ