REITs ไทย และ Singapore

REITs ไทย และ Singapore

REITs ไทย และ Singapore

สวัสดีเดือนกรกฎาคมครับ ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งปีสำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งแม้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เขาได้เคยเสนอไว้ในช่วงหาเสียงจะตะกุกตะกัก ไม่คืบหน้า แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯกลับยังขยายตัวดี ทำให้ FED เองไม่สามารถยืดเวลาการขึ้นดอกเบี้ยได้อีกต่อไป และในการประชุมครั้งล่าสุด FED ยังได้สร้าง surprise ด้วยการกล่าวถึงการลดขนาดงบดุล นับเป็นการส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดที่เข้มข้นมากขึ้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจกลับมาตั้งคำถามว่า แล้วแบบนี้ควรทำอย่างไรกับการลงทุนในกองทุนรวมดี?

ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ หรือตลาดการเงินจะเป็นอย่างไร การลงทุนอย่างไรเสียก็มีความเสี่ยง ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมมักแนะนำให้นักลงทุนปฏิบัติตามอยู่เสมอก็คือ การจัดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลายๆประเภทครับ ซึ่งในวันนี้ผมก็ยังยืนยันให้นักลงทุนลงทุนในรูปแบบ Portfolio อยู่เช่นเดิม แต่อาจมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน REITs ของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไทย และสิงคโปร์มากขึ้น เนื่องจากเหตุผลหลายๆประการ

1.เศรษฐกิจที่แข็งแรงขึ้นทั่วโลก

หลายครั้งเมื่อเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจจะมีความต้องการใช้อสังหาฯที่สูงขึ้น อาจเพื่อใช้ในการขยายอาคารสำนักงาน เก็บสินค้าที่ใช้ในกระบวนการผลิต และเพื่อรอส่งต่อให้ลูกค้า ใช้เพื่อเป็นที่แสดงสินค้าหรือเพิ่มช่องทางการขาย ฯลฯ ความต้องการใช้อสังหาฯที่เพิ่มมากขึ้นนี้เองนับเป็นปัจจัยส่งให้มูลค่ากองทุนอสังหาฯ ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น

2.กองอสังหาฯไทยและสิงคโปร์ยังจ่ายเงินปันผลในระดับสูง

อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ของทั้งกองทุนอสังหาฯสิงคโปร์ และ ไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 5.5 และ 6 % ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างน่าสนใจ มีศักยภาพที่จะดึงดูดเม็ดเงินได้ในภาวะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ

3.ปัญหา Oversupply ในตลาดอสังหาฯสิงคโปร์ที่เบาบางลงและ กรณีการเลิกมาตรการยกเว้นภาษี REITs ไทยก็ไม่กระทบพื้นฐานอสังหาไทยฯอย่างมีนัยสำคัญ

ย้อนกลับไปในช่วงหลังวิกฤต subprime 2008 อสังหาฯในสิงคโปร์ฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว ดึงดูดธุรกิจให้เร่งสร้างอสังหาฯออกมาจำนวนมาก จนเกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ทำให้หลังจากนั้นราคาอสังหาฯสิงคโปร์ค่อยๆซึมลงต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้ใน ปัจจุบันจะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหา Oversupply ที่ว่ายังไม่หมดไป แต่กลไกตลาดก็ทำให้เบาบางลงมากแล้ว และคาดว่าสถานการณ์เกี่ยวกับปัญหา Oversupply จะดีขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

ในขณะที่ราคากองทุนอสังหาฯไทยในช่วงก่อนหน้าก็ได้ปรับตัวลงอย่างมากจากความกังวลกรณีการเลิกมาตรการยกเว้นภาษี ซึ่งผมมองว่าจริงๆแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นฐาน การจ่ายปันผลของกองทุนอสังหาฯไทยฯมากเท่าที่ตลาดตอบสนองไปในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหากมองไปข้างหน้าการปรับตัวลดลงของราคากองทุนอสังหาฯไทยในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่จะเพิ่มสัดส่วนเข้าพอร์ตครับ

เหล่านี้คือ 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ผมเลือกที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนอสังหาฯทั้งในไทยและสิงคโปร์ สุดท้ายนี้ผมขอฝากข้อคิดที่ Guru of the gurus อย่าง Warren Buffett เคยพูดไว้สักนิดว่า “Risk comes from not knowing what you’re doing” ความเสี่ยงนั้นมาจากการที่เราไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ผมเชื่อว่าการลงทุนที่ดีต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอ และใช้เหตุผลในการตัดสินใจ โชคดีในการลงทุน สวัสดีครับ