หลาย ๆ เหตุผลที่ผู้คนไม่อยากจะทำงาน

หลาย ๆ เหตุผลที่ผู้คนไม่อยากจะทำงาน

หลาย ๆ เหตุผลที่ผู้คนไม่อยากจะทำงาน

แม้ว่าล่าสุด ตัวเลขอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ของสหรัฐที่ประกาศออกมาจะอยู่ระดับที่ต่ำที่สุดที่สุดในรอบ 16 ปี ที่ 4.3% เมื่อเดือนที่แล้ว โดยที่ปรับขึ้นมาเล็กน้อยในเดือนนี้ที่ 4.4% แต่ก็อย่าลืมว่าทั้งนี้มีส่วนมาจากอัตรา labor force participation rate ที่ปรับตัวลดลงมากเรื่อย ๆ ที่ 62.7% ในเดือนที่แล้ว และ 62.8% ในเดือนนี้ เทียบกับเมื่อ 16 ปี ที่แล้ว ประมาณปี ค.ศ.2000-2001 สหรัฐ มี labor force participation rate ประมาณ 67% ซึ่งการปรับตัวลดลงของ participation rate แปลว่า ผู้ที่ไม่ยอมหางานทำเป็นสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นจำนวนของประชากรรวม

ทำให้หวนนึกไปถึง บทความของผมที่ได้เขียนขึ้นเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับบทวิจัยของ Alan Krueger นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Princeton ที่ศึกษาวิจัยพบว่า มีค่าความน่าจะเป็นถึง 43.5% สำหรับผู้ชายอเมริกันอายุมีระหว่าง 15-54 ปี กลุ่มนอก labor force (ซึ่งอยู่เป็นส่วนที่ไม่ได้อยู่ใน labor participation) ที่อยู่ในระหว่างการบำบัด (ด้วยแก้ปวดเป็นประจำ)นับเป็นค่าตัวเลขที่สูงมากจนน่าตกใจ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าความน่าจะเป็นเพียง 12% สำหรับของกลุ่มผู้ชายอเมริกันช่วงอายุเดียวกันที่มีงานทำ (employed men) และ 16% สำหรับกลุ่มผู้ชายที่กำลังหางานทำ (unemployed men)

Krueger จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่ผู้ชายอเมริกันเลือกที่จะไม่หางานและอยู่ในกลุ่ม not in labor force อาจจะมีสาเหตุมาจากอาการป่วย ก็เป็นได้ ซึ่งทำให้ตัวเลข labor participation rate นี้ลดลงก็เป็นได้

สอดคล้องกันครับ David Mericle นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sach ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ได้ออกมาระบุว่า การระบาดของการใช้ยาแก้ปวดประเภทที่มีผลต่อระบบประสาท (Opioid Epidemic) ในหมู่ชนอเมริกัน อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่มีผลต่อ participation rate และในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Opioid Epidemic หรือ การระบาดของการใช้ยาแก้ปวดที่มีส่วนสกัดมาจาก opium (หรือฝิ่น) ปัจจุบันกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมสหรัฐ ทั้งนี้ เริ่มมาจากการที่ผู้คนที่มีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวหรือปวดกล้ามเนื้อ ได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้แพทย์ต้องสั่งจ่ายยาแก้ปวดประเภท Opioid ให้แก่คนไข้ แต่ต่อมาเมื่อคนไข้เริ่มมีอาการปวดอีก คนไข้ก็เริ่มที่จะหายามากินเองแล้วเริ่มจะติดยา ซึ่งส่วนมากจะนำไปสู่การการใช้ยาผิดวิธี หรือ ใช้ปริมาณมากเกินไป โดยมีตัวเลขว่าปัจจุบัน Opioid Epidemic เป็นสาเหตุการตายของคนสหรัฐถึงวันละ 90 คน(www.drugabuse.gov)

อีกสาเหตุในการพยายามอธิบายการลดลงของ labor participation rate มาจากผลวิจัยของ National Bureau of Economic Research หรือ NBER เดือนกรกฎาคม 2560 นี้ ที่ได้ระบุว่า Video Game เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการที่ผู้ชายในสหรัฐ อายุระหว่าง 21-30ปี ทำงานน้อยลง

ตัวเลขของผลงานวิจัยจากนักวิจัยของ Princeton University / University of Chicago/University of Rochester จากข้อมูลผลสำรวจระหว่างปี ค.ศ.2000 ถึง 2015 ระบุว่า ชั่วโมงการทำงานของชายอายุระหว่าง 21-30 ปี (ไม่รวมพวกนักศึกษาเต็มเวลา) ได้ปรับตัวลดลงถึง 203 ชั่วโมงต่อปี หรือ หากคิดเป็น 25 วันทำงานต่อปี โดยคนกลุ่มนี้มีเวลาว่าง เพิ่มขึ้นถึง 2.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และใช้เวลาประมาณ 60% ของ 2.3 ชั่วโมงหรือประมาณ 1.38 ชั่วโมง เล่นวีดีโอเกม

ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ท ทำให้วีดีโอเกมในปัจจุบัน มีคุณภาพ มีความสนุก หรือมีลูกเล่นที่จะดึงดูดผู้เล่นได้มากกว่าในสมัยก่อนที่วีดีโอเกม เป็นแค่เกม 8 บิต ที่ Stand Alone เล่นคนเดียวผ่านหน้าจอทีวี แต่ในปัจจุบันเกมยอดนิยมอย่าง World of Warcraft ที่ผู้เล่นสามารถเล่นได้ทั้งวันทั้งคืน

งานวิจัยจาก NBER ยังได้ระบุว่า หนุ่มชาวอเมริกันมีแนวโน้มจะพักอาศัยกับพ่อแม่ หรือ ญาติ โดยเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี ค.ศ. 2000 มาเป็น 35 % ในปี ค.ศ. 2015 และ Delay การแต่งงาน ซึ่งด้วยภาระที่น้อยลงไปนี้ ยิ่งทำเด็กหนุ่มมีเวลามาเล่นเกมได้สะดวกขึ้น

นับเป็นอีกหลาย ๆ เหตุผลจากงานวิจัย ที่พยายามจะอธิบายการปรับตัวลดลงของ labor force participation rate ในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องยาวนานกินเวลามาถึง 16 ปี แล้ว