ทรัมป์ vs คิม : วาทกรรมล่าสุด รบเป็นรบ!

ทรัมป์ vs คิม : วาทกรรมล่าสุด รบเป็นรบ!

ภาษาและลีลาของอเมริกา หลังเกาหลีเหนือทดลองขีปนาวุธพิสัยไกลหรือ Intercontinent Ballistic Missile

 (ICBM) สัปดาห์นี้ดุเดือดและร้อนแรง

ยิ่งเมื่อคิมจองอึนบอกว่าการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีปครั้งนี้ พิสูจน์ว่าต่อจากนี้ไปเกาหลีเหนือสามารถส่งจรวด ติดหัวอาวุธนิวเคลียร์ไปถึงอะแลสกาของสหรัฐได้แล้ว ก็ยิ่งทำให้อเมริการ้อน ๆ หนาว ๆ ไม่อาจจะอยู่เฉยได้

มะกันบอกว่าพร้อมจะ “ใช้กำลัง” กับโสมแดง

ต้องพิเคราะห์ภาษาที่ใช้จะเห็นระดับความตึงเครียด ที่เพิ่มขึ้นมาฉับพลันทันทีอย่างน่ากังวล

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตครั้งแรก หลังการทดลองล่าสุดว่าคิมจองอึนเป็น “that guy who doesn’t have anything better to do to his life…”

แปลว่า “ไอ้หมอนั่นไม่มีอะไรทำกับชีวิตตัวเองแล้วหรือ....”

ต่อมาอีกหนึ่งวันก็ประกาศว่าอเมริกาจะปฏิบัติต่อเกาหลีเหนืออย่างหนักหน่วงมากขึ้นด้วยคำว่า “….confront very strongly, the very, very bad behavior” ของเปียงยาง

เท่ากับทรัมป์บอกว่าจะ “เผชิญหน้าอย่างแรงมากต่อพฤติกรรมที่แย่มาก ๆ” ของเกาหลีเหนือ

ทรัมป์เน้นด้วยคำว่า very, very หลายครั้งเพื่อตอกย้ำถึงท่าทีขึงขังของตน แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่าผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกรงกลัวอะไรมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่

หากพิจารณาจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ก็พอจะสรุปได้ว่า “คิมน้อย” ไม่ได้หวาดหวั่น “นักเลงทรัมป์” เลยแม้แต่น้อย

มิหนำซ้ำยังบอกว่าการยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุดเป็นการส่ง “ของขวัญวันชาติอเมริกัน” ด้วยซ้ำไป

เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาตินิกกี้ ฮาเลย์ ใช้ถ้อยคำที่ดุดันไม่น้อยไปกว่าทรัมป์

เธอบอกว่าอเมริกาจะใช้ “กำลังทหารอันมหาศาล” ต่อเกาหลีเหนือ “หากจำเป็น”

ทูตมะกันบอกว่าสหรัฐมี “considerable military forces” อันหมายถึงการย้ำว่าอเมริกามีแสนยานุภาพทางทหาร ใหญ่โตพอที่จะจัดการเกาหลีเหนือให้ราบคาบได้

เป็นการโต้ที่คิมน้อยเคยประกาศว่าเกาหลีเหนือ มีอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรงพอที่จะ “ทำลายสหรัฐฯเป็นผุยผงในพริบตา”

ประโยคภาษาอังกฤษที่เธอใช้ในคำแถลง ต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่าอเมริกากำลังจะหมดความอดทนต่อโสมแดงแล้ว

“The United States is prepared to use the full range of our capabilities to defend ourselves, and our allies. One of our capabilities lies with our considerable military forces. We will use them,if we must, but we prefer not to have to go in that direction.”

แปลว่าอเมริกาพร้อมที่จะใช้แสนยานุภาพทางทหารทั้งหมดเพื่อป้องกันตัวเองและพันธมิตร และหนึ่งในศักยภาพนั้นคือกองกำลังทหารอันมหาศาล และพร้อมจะใช้กองกำลังนั้นหากจำเป็น แต่ก็ยังไม่อยากจะดำเนินการไปในทิศทางนั้น

ถือว่าเป็นคำขู่หรือเป็นคำเตือนหรือคำขาดก็แล้วแต่จะตีความ แต่น้ำเสียงและภาษาบ่งบอกถึงความตึงเครียดของสถานการณ์อย่างยิ่ง

อีกด้านหนึ่ง พลเอกวินเซ็นต์ บรู๊คส์ ผู้บัญชาการทหารสหรัฐในเกาหลีใต้ ก็ประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า สหรัฐพร้อมที่จะทำสงครามกับเกาหลีเหนือหากถูกยั่วยุต่อเนื่อง

นายพลบรู๊คส์ใช้คำเปรียบเปรยที่เข้มไม่น้อย เขาบอกว่า

“Self-restraint, which is a choice, is all that separates armistice and war. …As this alliance missile live fire shows, we are able to change our choice when so ordered by our alliance national leaders. It would be a grave mistake for anyone to believe anything to the contrary.”

เขาบอกว่า “ความยับยั้งชั่งใจเป็นเส้นแบ่งระหว่างการสงบศึกชั่วคราวกับสงคราม... ขณะนี้เรายังเลือกที่จะใช้ความอดทน แต่การซ้อมรบด้วยจรวดจริง (ของสหรัฐกับเกาหลีใต้) เป็นเครื่องยืนยันว่าเราพร้อมจะเปลี่ยนทางเลือกของเราหากได้รับคำสั่งจากผู้นำของพันธมิตรของเรา... จะเป็นวิธีคิดที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ หากใครจะคิดเป็นอย่างอื่น...”

พูดง่าย ๆ คือนายพลมะกันเตือน “คิมน้อย” ว่าอย่าคิดว่าสหรัฐไม่พร้อมจะทำสงคราม!

เพราะคิดอย่างนั้นคือคิดผิดอย่างมหันต์!