บวกรับปัจจัยในประเทศ

บวกรับปัจจัยในประเทศ

บวกรับปัจจัยในประเทศ

สรุปภาพรวมตลาด

“ SET index ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากกงาน Thailand's Big Strategic Move ที่จัดขึ้นก่อนหน้านี้และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ โดยรัฐบาลนำเสนอแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาและขยายสนามบิน โครงการมอเตอร์เวย์ รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยี 4.0 ด้วยเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี จากเอกภาคเอกชน และมีการลงทุนผ่าน Infrastructure Funds ขณะที่ภาครัฐมองการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจไทยในปี 2560 เติบโต 3.3% - 3.8% ทั้งนี้ประเด็นภาพรวมตลาดต่างประเทศยังคงไม่มีปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ โดยกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มส่งออกยังกดดันตลาดต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลก WTI ที่ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดติดต่อกัน ในรอบ 10 เดือนหรือปรับตัวลงกว่า 23% จากสูงสุดที่ระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาเรล ประกอบกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะกลางในด้าน Fund Flow จากต่างประเทศที่ยังไม่เข้ามา ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเพียงแต่ Sentiment เชิงบวกจากในประเทศอย่างการเก็งกำไรประกอบการไตรมาส 2 และโอกาสที่จะเกิด Window Dressing ได้ช่วงปลายไตรมาส 2 ที่จะเข้ามาหนุนแรงซื้อ รวมถึงการจัดงาน Thailand’s big strategic move ข้างต้น ทำให้มองว่านักลงทุนจะชะลอกาลงทุนในบางส่วนที่ได้รับปัจจัยลบ และจะเริ่ม Rotation มาลงทุนในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Domestic มากขึ้น ” 


Thailand’s big strategic move สร้างประโยชน์ในระยะยาว
เราประเมินว่าประเด็นที่น่าสนใจและส่งผลบวกต่อ Sentiment การลงทุนในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งจะสร้างแนวโน้มเชิงบวกต่อการลงทุนใน Sector ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น (1.) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่เริ่มปรับตัวขึ้นมารับประเด็นดังกล่าวกันแล้วสืบเนื่องจากการพัฒนาแนวคิด EEC ที่จะกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน คาดว่าจะรับรู้การลงทุนจริงในปี 2561 โดยใช้รู้แบบการพัฒนาโครงการ Eastern seaboard เรามองว่ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นกลุ่มที่รับประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดจากยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น รวมถึง Value add จากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีที่ดินเพียงพอรองรับความต้องการพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นสำหรับการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้า เป็นปัจจัสนับสนุนรายได้ธุรกิจเติบโตในระยะกลาง – ระยะยาว

(2.) กลุ่มก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับงานขนาดใหญ่จากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็คืองานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC โดยยังมีโครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย โครงการทางด่วน ตามโครงการแผนปฏิบัติการลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง ปี 2559-2560 อีกจำนวนมาก สร้าง Backlog ระยะกลางให้กับกลุ่มนี้ต่อเนื่อง

(3.) กลุ่มการบินที่จะได้ประโยชน์จากการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ขึ้นเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการขยายสนามบิน เชื่อมต่อ 3 ท่าอากาศยานสำคัญ (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) ด้วยรถไฟความเร็วสูง เชื่อม EEC โดยตรง รวมไปถึงการลงนามความร่วมมือระหว่าง AirBus กับ THAI เพื่อนำเทคโนโลยีมาพัฒนาศูนย์ซ่อม เช่น การพัฒนาเครื่องบินรุ่นใหม่ประหยัดพลังงาน, โรงซ่อมบำรุงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

(4.) กลุ่มเครื่องมือการแพทย์ที่จะมีการเชื่อมโยง EEC ยังมีในส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์หรือการดูแลสุขภาพ ขณะนี้ได้รับข้อเสนอเบื้องต้นจากนักลงทุนญี่ปุ่นที่สนใจลงทุนใน EEC

(5.) อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และชื้นส่วนรถยนต์ที่จะมีการร่วมมือกับต่างประเทศอย่างญี่ปุ่นพัฒนารถยนต์ที่ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ก็มีการแสดงเจตจำนงจากผู้ประกอบการที่จะลงทุน รวมถึงผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า และ

(6.) หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือน เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนการดำเนินงานอย่างสายการบิน รวมทั้งยังได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในระบบราง (รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง และรถไฟรางคู่)

ส่งออกไทยโตต่อเนื่องในเดือนพ.ค.
ถึงแม้ว่าทิศทางค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่เป็นระยะ อย่างไรก็ตามตัวเลขการส่งออกของไทยเดือน พ.ค. ยังคงเติบโตไปอยู่ที่ 1.99 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ปรับเพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 18.3% จากเดือนก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงที่มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นส่วนใหญ่และสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรม อย่างเช่น จะเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ สินค้าชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ ยางพารา และอาหารแช่แข็ง ซึ่งแรงหนุนจากการส่งออกที่ยังร้อนแรงรวมทั้งปีส่งออกตั้งแต่เดือนพ.ค. โตกว่า 7.2% สูงสุดในรอบ 6 ปี นั้นเรามองว่าจะสร้างแรงหนุนให้ GDP เติบโตได้ตามเป้าไม่ยาก

กลยุทธ์การลงทุน
ในระยะสั้นเรายังให้ภาพรวมกลยุทธ์จับจังหวะรายตัว (Selective Play) โดยในการลงทุนหุ้นที่อิงจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก อย่าง กลุ่มการบริโภคในประเทศ (Domestic) รวมถึงกลุ่มที่ยังได้เม็ดเงินสนับสนุนจากการเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น หลังจากที่ยอดต่างชาติยังคงเป็น Net Sell กว่า 38,700 ล้านบาทตั้งแต่ต้นปี โดยดัชนี SET index ระยะสั้นแนวโน้มดีดตัวขึ้นต่อทดสอบแนวต้าน 1,585 จุด ซึ่งหากผ่านยืนจะมีแนวต้านต่อไปที่ 1,600 จุดเป็นแนวต้านหลัก แนวรับหลัก 1,575 จุด ขณะที่แนวรับระยะกลางที่ 1,560 จุดเป็นแนวรับเส้นค่าเฉลี่ยที่แข็งแรงตามลำดับ