ปฏิรูปใช้ที่ดินรัฐ

ปฏิรูปใช้ที่ดินรัฐ

รัฐบาลเตรียมใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44

 เพื่อแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) หลังจากที่ผ่านมา เกิดปัญหาขึ้นจากมีการร้องไปยังศาลปกครอง ว่ามีหลายกิจการที่ใช้ประโยชน์จากที่ดินส.ป.ก. โดยครั้งแรกจากคำสั่งศาลปกครองกลาง ให้เพิกถอนการใช้ที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และล่าสุดได้ให้กิจการปิโตรเลียมหยุดการผลิตในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งรัฐบาลมองว่าได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะต่อกิจการพลังงานของไทย

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่ดินส.ป.ก. สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวหลายด้าน ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรของประเทศ แม้ว่านโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่ดี เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินของเกษตรกร แต่จากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ไม่ว่าจะมาจากวิธีใดก็ตาม ชี้ให้เห็นว่าลำพังการมีที่ดินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาภาคเกษตรได้ เพราะการทำการเกษตรที่สามารถให้เกษตรกรอยู่ได้นั้นต้องขึ้นกับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องผลผลิตและช่องทางการตลาด

ประเด็นสำคัญของพื้นที่ส.ป.ก.คือมีการกำหนดวัตถุประสงค์ชัดเจน ว่าเป็นพื้นที่เพื่อการเกษตรเท่านั้น และห้ามมีการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์เหมือนกับการซื้อขายที่ดินโดยทั่วไป แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีการใช้พื้นที่ส.ป.ก.ในหลายกิจการด้วยกัน โดยแบ่งกลุ่มเป็นกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กิจการพลังงานทดแทนและกิจการเหมืองแร่ ซึ่งจะพบว่ากิจการเหล่านี้มีการใช้พื้นที่ส.ก.ป.ยาวนานหลายปี จนกระทั่งมีคำสั่งศาลให้ยุติการหาประโยชน์นอกจากพื้นที่เพื่อการเกษตรเท่านั้น

คำถามสำคัญคือเหตุใดสำนักงานส.ป.ก.จึงอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และมีมาตรฐานการตีความกฎหมายอย่างไร และอาจจะต้องสืบสาวกันดูว่าเริ่มมีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ส.ป.ก.ที่ผิดวัตถุประสงค์เดิมนั้นเกิดขึ้นสมัยใด เพื่อตรวจสอบดูว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ส.ป.ก.มีการตีความข้อกฎหมายผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม ซึ่งอาจทำให้ทราบถึงต้นสายปลายเหตุเพื่อวางเป็นแนวทางป้องกันการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิด และทราบถึงปัญหาที่แท้จริงของการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้น หาใช่เป็นการรื้อฟื้นอดีตเพื่อหาคนผิด แต่อย่างน้อยเราอาจได้รับรู้สาเหตุของการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งเราเชื่อว่าไม่เพียงแต่พื้นที่ส.ป.ก.เท่านั้นที่เป็นปัญหา แต่รวมถึงที่ดินของหน่วยงานอื่นๆอีกด้วย แต่อย่างไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นหากมีการให้เพิกถอนกิจการที่ได้รับอนุญาตการใช้ที่ดินอย่างผิดวัตถุประสงค์นั้น ย่อมมีมหาศาลและอาจเกิดปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมีการใช้ประโยชน์มานานและมีความยุ่งยากในข้อกฎหมายทับซ้อนขึ้นมาอีก

จากกรณีนี้จะเห็นว่าหากไม่มีคำสั่งศาลออกมา คนทั่วไปก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่า มีการอนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างผิดวัตถุประสงค์อย่างไร และจากกรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั่วไป ของปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐทั่วประเทศ ที่เจ้าหน้าที่รัฐเองมีการตีความข้อกฎหมาย และในบางกรณีที่รุนแรงเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดกฎหมายเสียเอง ดังนั้น ปัญหาใหญ่นอกจากการแก้ปัญหาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินกับกิจการต่างๆ ที่เกิดขึ้น 

เราเห็นว่าสมควรจะเข้าไปแก้ปัญหาที่ดินของรัฐทั้งหมดอย่างเป็นระบบ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลา แต่หากสามารถวางแนวทางได้เพื่อแก้ปัญหาในอนาคต เราเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการแก้ปัญหาประเทศ ในยุคที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงแห่งการปฏิรูปที่แท้จริง หาไม่มีการแก้เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการใช้ที่ดิน การใช้มาตรา44 อาจเป็นดาบสองคมสำหรับอนาคต กล่าวคืออาจทำให้รัฐบาลในอนาคตสามารถใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อแก้ไขข้อกฎหมายและเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินได้โดยง่าย