ปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์

คนจำนวนมากในสังคมไทยทุกวันนี้ชอบแสวงหาหรือหวังให้เกิด “ปาฏิหาริย์” แก่ตนเองในการที่จะประสบความสำเร็จและ/หรือร่ำรวย ในชั่วเวลาแค่ “ข้ามคืน” คอร์สฝึกอบรมจำนวนไม่น้อยต่างก็เสนอแนวทางที่จะทำให้เกิด “ปาฏิหาริย์” ขึ้นกับชีวิตของคนที่ปฏิบัติตาม นอกจากเรื่องของแนวความคิด กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตที่ควรทำแล้ว สิ่งที่ทุกคอร์สจะต้องนำเสนอก็คือตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จที่มักจะรวมถึงคนที่พูดบรรยายด้วย มิฉะนั้นแล้วใครจะเชื่อ!

ผมเองคิดว่าการเข้ามาเรียนรู้เทคนิคในการสร้างความสำเร็จในชีวิตนั้นน่าจะมีประโยชน์ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่มักจะสร้าง “แรงบันดาลใจ” ให้เกิดขึ้นกับเรา มันช่วยให้เราทำงานหนักขึ้น คิดและวางตัวเหมาะสมกับการอยู่ในสังคมกับคนอื่น และก็อาจจะมีความคิดใหม่ ๆ ที่ทำให้เราหาช่องทางในการที่จะประสบความสำเร็จได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งถ้าเราไม่เลือกที่จะรับรู้และเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ เราก็อาจจะตกเป็น “เหยื่อ” ของคนที่เสนอแนวทางการสร้างความสำเร็จในชีวิตเสียเอง ตัวอย่างเช่น เราอาจจะต้องเสียเงินแพง ๆ เป็นค่าเรียนและไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เขาสอน ในทางตรงกันข้าม คนที่จะได้ประโยชน์เป็นเงินจำนวนมากและประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็คือคนที่บอกหรือสอนคนอื่น

วิธีที่จะดูว่าสิ่งไหนหรือวิธีการใดจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงนั้น ผมคิดว่าเราจะต้องพิจารณาและวิเคราะห์ด้วยเหตุผลและด้วยความเข้าใจในความหมายของคำว่า “ปาฏิหาริย์” ด้วย เพราะคำ ๆ นี้มีความหมายว่าเราต้องประสบความสำเร็จอย่าง “เหลือเชื่อ” และน่าจะมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นเพียง “หนึ่งในร้อย” หรือต่ำกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าหมายความสำเร็จว่าเป็นอย่างไร เช่นถ้าตั้งเป้าในเรื่องของเงินทองหรือความมั่งคั่งที่เราจะมีนั้น เราตั้งไว้ที่เท่าไรและในเวลากี่ปี เป็นต้น

คอร์สเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจหรือการสร้างปาฏิหาริย์ให้แก่ชีวิตจำนวนไม่น้อยพยายาม “สร้างกำลังใจ” ให้กับคนที่เรียนโดยการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่เขาจะประสบสำเร็จ ตรงกันข้าม วิทยากรมักจะพูดย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายประเภท “ผมทำได้คุณก็ทำได้” และวิธีที่จะมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จเองนั้นก็ง่าย คุณไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือเก่ง และก็ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก “ทุกอย่างอยู่ที่ใจและความเชื่อ” และด้วยกลยุทธ์ในการโน้มน้าวจิตใจแบบนี้ คนก็จะเข้ามาเรียนและในที่สุดก็อาจจะกลายเป็น “สาวก” ที่จะปฏิบัติตาม “กูรู” อย่างไม่ต้องคิดหรือมีคำถาม และแม้ว่าคนเรียนจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้ พวกเขาก็มักจะโทษว่ามันเป็นปัญหาของตัวเขาเองแทนที่จะเป็นหลักการหรือแนวทางของ “อาจารย์”

โดยปกติแล้ว ปาฏิหาริย์มักจะถูกกล่าวอ้างว่ามีที่มาจาก 3 ประเด็นใหญ่ ๆ ก็คือ เรื่องแรกนั้น เป็นเรื่องที่อิงอยู่กับ “เหตุการณ์ลึกลับ” ที่เชื่อว่าถูกกำหนดขึ้นโดย “พระเจ้า” หรือ “ความเชื่อทางศาสนา” ในสังคมไทยที่ชอบใช้กันก็คือ การ “ทำบุญ” ที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ เช่น “ยิ่งทำบุญมากก็จะยิ่งรวยขึ้น” เป็นต้น “ปาฏิหาริย์” ที่อิงอยู่กับความเชื่อทางด้านจิตใจนี้ โดยทั่วไปผมคิดว่าไม่ได้เพิ่มโอกาสในการที่จะทำสิ่งที่ประสบความสำเร็จยากให้มีโอกาสสำเร็จง่ายขึ้น แน่นอน คนที่เชื่อแบบนี้บางคนก็รวยขึ้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์จริง ๆ แต่มันมักจะไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาทำบุญมากขึ้น มันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า ในความเป็นจริง คนจำนวนมากมายที่ไม่รวยและทำบุญเป็นล่ำเป็นสันก็มักจะไม่รวยขึ้น

ปาฏิหาริย์ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างน่า “ประหลาดใจ” และ “ไม่คาดคิด” เช่น ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง หรือโชคดีที่รถคว่ำรุนแรงแต่ไม่ตายหรือเจ็บเพียงเล็กน้อย เป็นมะเร็งขั้น 3-4 แต่หายได้ราว “ปาฏิหาริย์” ในกรณีแบบนี้ บางทีเราก็มักพยายาม “โยง” ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ เช่น คนตายมาเข้าฝันให้ถูกลอตเตอรี่ แขวนพระรุ่นดัง หรือ กินสมุนไพรบางอย่าง ตามลำดับ ทั้งหลายนั้นคือความเชื่อที่อาจจะไม่จริงเลย เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่อง “บังเอิญ” เราอาจจะเป็นหนึ่งในล้านหรือหนึ่งในร้อยหรือพันที่โชคดี รวยจากการถูกล็อตเตอรี่ ไม่ตายจากอุบัติเหตุ รอดจากมะเร็ง อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งที่จริงก็เป็น “เรื่องปกติ” ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตลอดเวลาที่ต้องมีคนถูกลอตเตอรี่จากคนที่ซื้อลอตเตอรี่เป็นล้าน ๆ คนทุกงวด หรือคนที่เกิดอุบัติเหตุเป็นพันเป็นหมื่นคนทุกวัน เช่นเดียวกับคนที่เป็นมะเร็งขั้นท้าย ๆ แล้วก็มักจะมีคนรอดอยู่บ้างตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์เรื่องสุดท้ายก็คือการประสบความสำเร็จอย่างงดงามเกินกว่าความคาดหวังในกิจกรรมบางอย่างที่เราได้ทุ่มเทค้นคว้าและทำงานอย่างหนัก สิ่งที่ทำนั้น ในอดีตอาจจะไม่สามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้ เช่น โรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่ด้วยการใช้ยาตัวใหม่และการปฏิบัติบางอย่างทำให้เรารอดตายได้ นี่คือ “มหัศจรรย์ของการแพทย์สมัยใหม่” หรืออย่างในกรณีของคนที่ประสบความสำเร็จงดงาม “ระดับโลก” อย่าง “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล ที่กลายเป็นนักกอล์ฟหญิงมือหนึ่งของโลกที่เป็นคนไทย นี่เป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานและการทุ่มเทอย่างหนักรวมถึงกลยุทธ์ในการดำเนินการอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จริงอยู่ ในบางกรณีและอาจจะบ่อยครั้งมันก็มีเรื่องของความ “โชคดี” อยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะในกรณีแบบนี้ ถึงพวกเขาจะ “โชคร้าย” เราก็มักจะยังเห็นการประสบความสำเร็จที่สูงมากของพวกเขาอยู่ดี

“ปาฏิหาริย์จากการลงทุน” นั้น เป็นเรื่องหนึ่งที่นักเล่นหุ้นและนักลงทุนต่างก็แสวงหากันโดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 10 ปีในตลาดหุ้นไทย เหตุผลก็เพราะตลาดหุ้นไทยบูมหนักและมีนักลงทุนหลาย ๆ คนสามารถ “สร้างปาฏิหาริย์” เปลี่ยนเงินเพียง “เล็กน้อย” ให้กลายเป็นเงินล้าน ๆ บาท คนอายุเพียง 30-40 ปี บางคนสามารถทำเงินจากการลงทุนในตลาดหุ้นนับร้อยหรือพันล้านบาทได้โดยการซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นจากโทรศัพท์ จอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะไม่ยาก ว่าที่จริง “กูรู” ต่างก็ออกมาพูดหรือเขียนหนังสือแนะนำวิธีการทำเงินหรือรวยจากตลาดหุ้น คอร์สเกี่ยวกับการลงทุนและการเล่นหุ้นรวมทั้งตราสารประเภท “ได้เสียรวดเร็ว” อย่าง Derivatives และ Futures มีออกมาเต็มไปหมด กลยุทธ์การเล่นหรือการลงทุนนั้นมีเป็นร้อย ๆ แบบ ทุกแบบนั้นดูเหมือนว่าจะ “ไม่ยาก” บางทีเราแค่ตั้งเกณฑ์การตัดสินใจแล้วก็ทำตามนั้น เช่น ถ้าเส้นกราฟราคาตัดกันเมื่อไรก็ให้ซื้อหรือขาย เป็นต้น แน่นอนว่าคนบางคนก็กำไรและอาจจะ “รวย” จากการลงทุน แต่ความเป็นจริงก็คือ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนหลังจากที่มีความคิดเรื่องปาฏิหาริย์จากการลงทุนกลับไม่ได้ผลตอบแทนที่ดี บางคนก็ “เจ๊ง” นี่ก็เป็นเรื่อง “ปกติ” และก็เป็นเรื่องทางสถิติที่ว่าถ้ามีคนลงทุนกันมาก ๆ ก็ต้องมีคนที่กำไรมาก ๆ บ้างอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นปาฏิหาริย์

ปาฏิหาริย์ของการลงทุนที่จะเกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นจากการทุ่มเทพลังความคิดและจิตใจรวมถึงกลยุทธ์การลงทุนที่ถูกต้องนั้น ผมคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องของการลงทุนระยะยาวที่อาศัย “มหัศจรรย์ของการทบต้น” ซึ่งจะสร้างปาฏิหาริย์ให้เรามั่งคั่งร่ำรวยได้เมื่อเวลาผ่านไปยาวนานอาจจะหลายสิบปี เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างปาฏิหาริย์ในเวลาแค่ 5-6 ปีอย่างที่นักลงทุนหลายคนอาจจะทำได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเองเชื่อว่านักลงทุนหลายคนซึ่งรวมถึงตัวผมเองนั้น “โชคดีมาก” ที่ได้เข้ามาลงทุนเต็มที่ในช่วงเวลาที่อาจจะหาไม่ได้อีกหลายสิบปีที่ทำให้เรารวยจากการลงทุนอย่างไม่อาจจะคาดคิดได้ ในขณะที่เรื่องของความสามารถและการทำงานหนักนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันได้ว่าเราเก่งจริงหรือเปล่า พูดง่าย ๆ ผมเชื่อว่าคนที่ร่ำรวยจากการลงทุนมาก ๆ ในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ส่วนใหญ่น่าจะมาจากดวงมากกว่าฝีมือ ปาฏิหาริย์ของการลงทุนแล้วรวยมหาศาลอย่างรวดเร็วนั้นไม่มีอยู่จริง