ได้เวลา... ปลดล็อกการเมือง

ได้เวลา...  ปลดล็อกการเมือง

งวดเข้ามาทุกทีสำหรับเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ

 ที่นักการเมืองและประชาชนจำนวนหนึ่งต่างตั้งตารอคอย โดยเฉพาะ“กฎหมายลูก”ที่ว่าด้วยการเลือกตั้ง ถือได้ว่าเดินมาแล้วกว่าครึ่งทาง จากองค์ประกอบที่จะต้องมีกฎหมายลูกที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองรวม 4 ฉบับ ถึงขณะนี้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเป็นฉบับแรก ท่ามกลางความเห็นแตกต่างกันพอประมาณ

ขณะที่ร่างกฎหมายลูกฉบับที่ 2 ว่าด้วยพรรคการเมือง จะเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในวันนี้ ที่แม้จะมีข้อคิดความเห็นที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่คงไม่รุนแรงเท่ากฎหมาย กกต. โดยมีข้อถกเถียงที่ยังค้างคาอยู่เพียง 2-3 เรื่อง ที่ว่าด้วยทุนประเดิมตั้งพรรคการเมืองจากที่ระบุไว้ 1 ล้านบาท ถูกปรับแก้ให้เท่ากับจำนวนเงินรายหัวที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งก็คือ 1.5 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นที่ยังมีความสำคัญพ่วงเข้ามาด้วย เพราะว่าหากพรรคการเมืองไม่ชำระเงินดังกล่าวภายในกำหนด ก็จะถูกตั้งสิทธิในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนอีกประเด็นเป็นเรื่องการเก็บค่าสมาชิกพรรค 100 บาท ที่ก่อนหน้านี้มีเสียงคัดค้านแตกต่างหลากหลาย ที่สุดท้ายแม้จะมีการปรับแก้แต่ก็ดูเหมือนจะทำพอเป็นพิธี คือยังคงตัวเลขไว้ที่ 100 บาทตามเดิม เพียงแต่ในการจัดเก็บปีแรกให้เขียนเอาไว้ในบทเฉพาะกาลว่าให้เก็บ“ครึ่งราคา” นอกจากนั้น ก็ยังมีเรื่องที่ว่าด้วยการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง ที่ถูกพูดถึง“ไพรมารี่โหวต” โดยเพิ่มบทบาทให้กับสาขาพรรคการเมือง ได้มีส่วนร่วมในการสรรหาทั้งส.ส.ในระบบเขต และส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ

การหารือกฎหมายฉบับนี้มีผู้ขอสงวนคำแปรญัตติเพียง 5-6 ที่เชื่อว่าจะไม่มีประเด็นเผ็ดร้อน และคงวิพากษ์วิจารณ์และท้วงติงกันพอหอมปากหอมคอ และสุดท้ายกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง ก็คงจะผ่านการพิจารณาของสนช.เป็นกฎหมายลูกฉบับที่สองไปตามระเบียบ ส่วนกฎหมายลูกที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอีก 2 ฉบับ ก็คงจะตามมาในเร็ววันนี้ เพราะการรา่งกฎหมายคืบหน้าไปมาแล้ว โดยจะเรียงลำดับจากกฎหมายว่าด้วนที่มา ส.ว. และปิดท้ายด้วยกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)

ซึ่งหมายความว่าเมื่อกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งภายใน 50 วัน รวมทั้งในความเป็นจริงแล้วหลังจากกฎหมายพรรคการเมืองผ่านความเห็นชอบของสนช.ในวันนี้ไปแล้ว พรรคการเมืองก็จะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการหลายเรื่องตามกติกาใหม่ ทั้งเรื่องสมาชิกพรรค เงินบำรุงพรรค ที่จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ รวมไปถึงการเตรียมการเฟ้นหาผู้สมัคร หลังทอดเวลามานานหลายคนอาจถอดใจ หรือบางคนอาจอยากย้ายพรรค และยังมีเรื่องของการกำหนดนโยบายที่จะต้องให้สมาชิกเห็นชอบ

 อย่างไรก็ดีเรื่องดังกล่าวกลับสวนทางกับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ออกมากำชับห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ทั้งที่วันนี้“รัฐบาลคสช.” ควรเปิดใจกว้าง สร้างบรรยากาศการรับรู้ทางการเมืองให้กับประชาชน ให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อเป็นการกระตุ้นบรรยากาศประชาธิปไตย โดยที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร รวมทั้งอำนาจคสช. ตามมาตรา 44 รธน.ฉบับชั่วคราวก็ยังพร้อมสำหรับการแก้ไขสถานการณ์ได้ตลอดเวลา...จึงไม่มีอะไรน่ากลัว