ประเทศไทย คำว่า 'เปลี่ยน' เชยแล้ว ต้อง 'แปลงร่าง' ด้วย

ประเทศไทย คำว่า 'เปลี่ยน' เชยแล้ว ต้อง 'แปลงร่าง' ด้วย

เมื่อคุณธรรม จริยธรรม และความละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่มีอยู่ในมโนสำนึกของบรรดาผู้คน ที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่นในสังคม

 เหตุการณ์วิปริตผิดเพี้ยน คาดคิดไม่ถึงจึงเกิดขึ้นเป็นข่าวคราวให้เป็นที่ติฉินนินทาในสังคมได้ไม่เว้นวี่วัน ไม่ว่าจะเป็นคดีรถหรูที่ดูเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควรหลังการสร้างกระแสให้สังคมเกิดความตื่นตัวและปรบมือดังๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ผ่านมากว่าสองสัปดาห์ยังไม่มีการดำเนินคดีผู้ใดอย่างเป็นทางการ 

น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับการที่ผู้มีอันจะกินแม้จะกระทำความผิดหนักหนาสาหัสอย่างไร โอกาสที่จะติดคุกติดตารางดูยากเต็มที ทำให้นึกถึงวิกฤติการณ์ทางสังคมอเมริกันสมัยที่ผู้เขียนไปศึกษาหาความรู้เมื่อราว 30 ปีก่อน มีนักวิชาการชื่อ David Reisman ที่เขียนไว้ชัดว่า“เมื่อได้รวยแล้วมีแต่ยิ่งรวยส่วนคนจนนอกจากจนแล้วยังอาจติดคุกได้อีก” (The Rich get richer the Poor get Prison)

วันนี้คนจะเข้าวัดทำบุญยังต้องเหลียวหน้าแลหลังดูให้มั่นใจว่า เข้าไปแล้วจะได้บุญหรือจะไปทำบาปเพิ่มอีก เพราะประเด็น “เงินทอน” วัดจำนวนมากในประเทศที่เป็นข่าวเกรียวกราว ทำให้เห็นได้ชัดว่า พุทธพาณิชย์ อาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว เพราะปัจจุบันกระบวนการแสวงประโยชน์จากผู้ศรัทธาเลื่อมใสศรัทธา แม้จะทราบกันดีว่ามีมานานมากแล้ว 

ดังกรณีวัดดังที่เป็นข่าวใหญ่คึกโครม เจ้าหน้าที่ก็ได้แต่ประกาศจะรวบตัวหรือควานหาตัว แต่น่าเสียดายในขณะที่ยังเห็นตัวตนกลับไม่ทำอะไรให้เป็นมรรคเป็นผลในเวลาที่สามารถกระทำได้ กระบวนการทุจริตในวงการสงฆ์ด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินอาจเป็นการปรามมากกว่าการป้องกันแก้ไขปัญหาแบบเกาถูกที่คัน เพราะเมื่อเรื่องแดงขึ้นมา กระบวนการยักย้ายถ่ายเทก็ดี และหลายครั้งการไม่ทำธุรกรรม หรือน่าจะเรียกว่า “ทุรกรรม” มากกว่า เขาไม่กระทำผ่านระบบสถาบันการเงิน 

การตรวจสอบเมื่อมีเหตุให้รับรู้กระจายไปทั่วเช่นนี้ ย่อมยากเย็นแสนเข็ญในการสาวตัวถึงผู้กระทำผิด เพราะเชื่อลึกๆ ว่า พระสงฆ์องค์เจ้าแม้จะเป็นผู้ทรงศีลมีปัญญาหลักแหลม แต่กลไกวิธีการที่ปรากฏเป็นข่าวมั่นใจว่า ต้องกระทำเป็นขบวนการและมีญาติโยมอาจเป็นผู้ใกล้ชิดหรือผู้ได้รับความไว้วางใจเข้ามาช่วยเหลือรับผลประโยชน์จาก “เงินทอน” ดังกล่าวเป็นแน่แท้

จะเห็นได้ว่า เครือข่ายหรือผู้ที่มุ่งหวังตักตวงเอาแต่ได้ใส่ตัวและพวกพ้อง มีทุกรูขุมขนหรือทุกอนูของสังคมไทย ความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาซ้ำซากยากจะสัมฤทธิ์ผล เพราะนอกจากเจ้าหน้าที่จะเกียร์ว่าง รอการเลือกตั้ง ด้วยความหวังที่จะรอประจบเอาใจ “อำนาจใหม่” ยังมีที่มาจากความไม่ยำเกรงในอำนาจรัฐ ทั้งด้วยมั่นใจในอำนาจเบื้องหลังที่หนุนนำตนเอง หรืออาจถึงขั้นมั่นใจหรือเข้าใจผิดไปเองว่าสามารถซื้อเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายไว้ในกำมือได้ถ้วนทั่ว ทำให้ไม่เกิดความยำเกรงและแสดงอำนาจบาตรใหญ่ท้าทายกฎหมายบ้านเมืองได้อย่างอุกอาจ 

ที่ชัดเจนคือการรุกล้ำผืนป่าและที่ดินสาธารณประโยชน์ไปปลูกสร้างรีสอร์ทบ้าง บ้านพักอาศัยตากอากาศส่วนตัวอย่างหรูหราแบบเย้ยฟ้าท้าดินจึงเกิดขึ้นเป็นข่าวประจานความไร้ศักดิ์ศรีของผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างน่าอับอายยิ่งนัก ใครผ่านไปผ่านมาเมื่อเห็นหลักฐานแห่งการทุจริตประพฤติมิชอบอยู่ตำตาทุกเมื่อเชื่อวันต่างตั้งคำถามหรือพูดตรงกันว่า บ้านหลังใหญ่บ้านราคาแพงหากไม่มีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ ไปปลูกสร้างบนเนินเขาหรือหน้าผาสูงชันได้อย่างไร 

พอจับได้ไล่ทันก็อ้างโน่นนี่ อ้างการออกโฉนดทับซ้อนเพราะเครื่องมือหรือมาตรวัดคนละสเกลหรือมาตรฐานต่างกัน หรือถูไถไปข้างๆ คูๆ ว่าไม่รู้ไม่ทราบซื้อต่อมาหรือมีคนรับรองแล้วว่าซื้อขายได้ ไม่ต่างกับกรณี “รถหรู” ที่ผู้ซื้อมักร้องขอความเห็นอกเห็นใจคล้ายๆ กันว่า ตัวเองเป็น “ผู้เสียหาย” เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่อมพระมาพูดก็คงไม่มีใครเชื่อ เนื่องด้วย การซื้อของราคาแพงอย่าง “รถหรู” หรือ “การปลูกสร้างบ้าน” เอาไว้พักอาศัยหรือพักผ่อนหย่อนใจในพื้นที่ผืนงามอย่างที่เป็นข่าว ย่อมไม่น่าเชื่อได้ว่า ผู้ซื้อจะไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า ผืนแผ่นดินหรือทำเลทองตรงนั้นตรงนี้ใครถือครองมาก่อน มีประวัติความเป็นมามีที่มาที่ไปอย่างไร ดังนั้น ข้ออ้าง “การเป็นผู้เสียหาย” จึงเป็นข้ออ้างที่น่าจะฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

วินัยความรู้สึกรับผิดชอบของคนในสังคมเป็นสิ่งที่รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยพยามปลูกฝังสร้างนิสัยแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จหลายคนกล่าวโทษ วัฒนธรรม ถึงขนาดออกโฆษณารณรงค์ “อย่าให้ใครต่อว่าต่อขานได้ว่าที่เป็นเช่นนั้นเช่นนี้เพราะเป็นคนไทย” ซึ่งเข้าใจวัตถุประสงค์ของคนออกแคมเปญดีว่า ต้องการสะท้อนความรักชาติบ้านเมืองไม่อยากให้ใครมาใช้คำว่า “ไทย” ในการดูถูกดูแคลนคนไทยด้วยกัน แต่คนที่เป็นไทยแท้ด้วยหัวจิตหัวใจทุกคนต้องพยายามมีจิตสำนึกรับผิดชอบมากกว่านี้ 

ล่าสุดมีข่าวเดิมๆ ที่เคยติติงมาก่อนหน้านี้ว่า เพื่อนบ้านบางประเทศส่งตัวคนไทยกลับกรุงเทพเป็นว่าเล่น เพราะมักหลบหนีเข้าเมืองไปสร้างปัญหาให้สังคมเขา ก็ปรากฏเรื่องให้เป็นที่โจษจันท์เมื่อมีคนโดดกรุ๊ปทัวร์เป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมาอีก วันนี้ประเทศไทยและคนไทยส่วนใหญ่เดินมาไกลแล้ว ในยุคแห่งการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ ต่อให้ได้คนเก่งกล้าสามารถเพียงใดมาปกครองบริหารประเทศ ภาระอันหนักอึ้งหรือเป็นโจทย์ยากที่สุดหาใช่ปัญหาการเมือง หรือ ปัญหาความไม่ปรองดอง แต่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ถ้าคนไทยจะร่วมมือกัน “เป็นคนไทยแท้ๆ “ ด้วยหัวใจทุกดวงของคนไทย ที่จะต้องลด ละ เลิก ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว 

อย่าพึ่งพารอคอยรับความช่วยเหลือเจือจานโดยไม่ริเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่สำคัญต้องเป็นคนไทยถึงขั้นที่บอกใครได้ว่า “เราเป็นไทยได้เต็มปากเต็มคำ” เพราะวันนี้เราต่างได้ยินคำที่พูดกันติดปากว่าถึงยุคแห่ง “การยกเครื่อง แปลงร่างกันใหม่ (transform)” จะเปลี่ยนแปลงหรือ change ย่อมไม่พออีกต่อไป