งานเลี้ยงเลิกรา

งานเลี้ยงเลิกรา

งานเลี้ยงเลิกรา

ในแวดวงตลาดหุ้นนั้น คำพูดหนึ่งที่ได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ “The party is over” หรือ “งานเลี้ยงเลิกรา” หรืองานเลี้ยงกำลังจะเลิกและคนที่ “ลุกช้า” ต้องจ่ายเงิน ซึ่งความหมายก็คือ ในช่วงก่อนหน้านั้น ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นเป็น “กระทิง” ผู้คนต่างก็เข้าไปเล่นหุ้นได้กำไรและมีความสุขกัน “ทุกคน” เปรียบไปก็เหมือนกับคนที่เข้าไปร่วมในงานปาร์ตี้ที่สนุกสนานจนคน “ลืมเวลา” และลืมไปว่ากฎข้อหนึ่งของงานนี้ก็คือ คนที่ “ลุกออกไปไม่ทันงานเลิก” จะต้องเป็นคน “จ่ายเงิน” ค่าจัดงานนี้ ซึ่งในกรณีของหุ้นก็คือ คนที่เข้าไปเล่นหุ้นในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักมากจนลืมไปว่าราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงแรงกลายเป็น “ตลาดหมี” ในเวลาใดเวลาหนึ่งที่เรามักจะ “คาดไม่ถึง” และถ้าไม่ตระหนักหรือไม่ระวัง เราก็อาจจะขาดทุนอย่างหนักได้

ผมไม่ได้บอกว่าตลาดหุ้นไทยนั้นกำลังเหมือนกับ “งานปาร์ตี้” แม้ว่าปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยจะเป็น “ดารา” ที่ให้ผลตอบแทน “ดีเด่นระดับโลก” สูงถึงกว่า 20% เพราะครึ่งปีของปีนี้ตลาดหุ้นไทยกลับไม่ไปไหนในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกค่อนข้างสดใส อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยโดยรวมก็ไม่ได้ตกลงมาจากสิ้นปีก่อน ดังนั้นเราจะพูดว่างานเลี้ยงของตลาดหุ้นไทย “เลิกแล้ว” ไม่ได้ หุ้นไทยอาจจะกำลังพักหรือกำลังใกล้จะเลิกไม่มีใครรู้ เราคงต้องเฝ้าดูกันต่อไป แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปก็คือเรื่องของ “งานเลี้ยงของหุ้นรายตัวบางตัว” ที่ดูเหมือนว่ากำลังใกล้เลิกราหรือเลิกแล้วและ “คนที่เข้าร่วมงาน” ต้อง “จ่ายเงิน” หรือกำลังต้องจ่ายเงิน “อย่างแพง”

หุ้นที่เข้าข่ายว่ากำลังจัด “งานเลี้ยง” นั้น คุณสมบัติสำคัญก็คือ ราคาหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำมาสูงมาก มูลค่าตลาดหรือ Market Cap. ของหุ้นเพิ่มขึ้นสูงลิ่วเป็นหลายเท่าในเวลาไม่นานซึ่งทำให้คนที่ถือหุ้นโดยเฉพาะที่ถือมือแรก ๆ มีกำไรมโหฬาร คนเหล่านั้นบางทีหรืออาจจะเป็นส่วนมากนั้น มักจะเป็นคนที่ “จัดงานเลี้ยง” เสียเอง โดยเป็นคนที่กำหนดกลยุทธ์และโปรโมตบริษัทและหุ้นในทุกวิถีทางที่ทำให้หุ้นมีราคาสูงลิ่ว นี่เป็นเงื่อนไขหรือนิยามข้อแรก

ประเด็นต่อมาก็คือ หุ้นที่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงนั้น จะต้องอยู่มานานพอสมควร ไม่ใช่เริ่มเร็วเลิกเร็วจนคนไม่ทันตั้งตัว ปกติดัชนีหุ้นหรือราคาหุ้นที่ขึ้นไปจะต้องสามารถคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องยาวนานเป็นปีหรือหลายปี และแม้ว่าในบางช่วงระหว่างนั้นมันจะมีการปรับตัวลงมาบ้างแต่ก็จะเป็นการปรับ “ชั่วคราว” และมักจะไม่แรงมากจนเป็นหายนะ โดยที่ “เหตุผล” ที่ทำให้หุ้นมีราคาดีหรือดีมากนั้น มักจะดู “มีเหตุผล” ทาง “พื้นฐาน” ประกอบ ซึ่งทำให้คนจำนวนมากที่ “มองโลกในแง่ดี” เชื่อ

ช่วงที่งานเลี้ยง “กำลังเลิกรา” ก็คือช่วงที่เริ่มมี “ข่าวไม่ดี” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้า งบการเงินดูเหมือนว่าอาจจะมีปัญหา Story หรือเรื่องราวที่ถูกวาดให้สวยหรูไม่เป็นไปอย่างที่คิด หรือเรื่องราว “ฉาวโฉ่” ถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ ราคาหุ้นจะตกลงมาอย่างรวดเร็วหลายเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเป็นแค่วันเดียวหรือน้อยกว่านั้น สิ่งที่มักจะตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การขายของนักลงทุนรายใหญ่หรือข่าวทำนองเดียวกันซึ่งทำให้นักลงทุนรายย่อยขวัญเสียเริ่มขายตาม ในช่วงเวลาแบบนี้ ราคาหุ้นในแต่ละวันจะมีความผันผวนสูงมาก ในช่วงแรก ๆ ของการตกต่ำลงของราคาหุ้นนั้น การตกมักจะต่อเนื่องกันหลายวัน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็มักจะมี “แรงรับ” ของ “นักเก็งกำไร” ซึ่งมักจะรวมถึงนักเล่นหุ้นรายย่อยที่มองว่า “เดี๋ยวหุ้นจะเด้ง” ซึ่งทำให้ราคาหุ้นดีดตัวกลับขึ้นไปแรงหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์เป็นระยะ ๆ พร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่สูงมาก ในช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่คนยังไม่แน่ใจว่าบริษัทจะแย่จริงแค่ไหน เหนือกว่านั้นก็คือ พวกเขาคิดว่าหุ้นตกลงไป อาจจะหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือเกินครึ่งแล้ว มันถูกเกินไป ปัญหาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น บริษัทยังมีทรัพย์สินและเงินสดพอที่จะไม่ล้มละลาย ดูเหมือนว่า “ภาพของสิ่งดี ๆ” ทั้งหลายของบริษัทที่ติดอยู่ในใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้พวกเขาคิดว่าบริษัทจะ “ฟื้น” จากวิกฤติขึ้นมาได้

ช่วงสุดท้ายก็คือเมื่องานเลี้ยงเลิกราแล้วจริง ๆ นั่นก็คือ ปริมาณการซื้อขายเริ่มจะลดลงไปเรื่อย ๆ และราคาหุ้นก็ลดความหวือหวาลง ราคาหุ้นก็ตกลงมามากจากจุดสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วน่าจะตกลงมาไม่ต่ำกว่า 70% บางตัวที่มีปัญหาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือกฎหมายก็อาจจะถูกให้หยุดการซื้อขายหุ้นในตลาด รายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในเวลานี้จะมีผู้ที่ถือหุ้นใหญ่น้อยมาก บางทีก็กลายเป็นบริษัทที่ “ไม่มีเจ้าของ” ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมีจำนวนอาจจะนับหมื่นรายซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนที่ “ลุกไม่ทัน” งานเลิก หรือไม่รู้ว่าเขากำลังเลิกแต่กลับเข้าไป “ร่วมงาน” ในตอนที่ “นักดนตรี” กำลังเก็บเครื่องเสียง นั่นก็คือ “สัญญาณ” ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่กำลังขายหุ้น และเมื่อขายเสร็จ การซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นเพื่อที่จะ “พยุงราคา” ก็หมดไป หุ้นก็จะเหงาและคนก็จะเลิกพูดถึงในที่สุด

เมื่อเกิดกรณี “งานเลี้ยงเลิกรา” นั้น ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายโดยเฉพาะสำหรับ VI ดูเหมือนว่ามันไม่ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปร่วมในงานเลี้ยงตั้งแต่ต้นหรือถ้าเข้าไปร่วมก็อยู่อย่างมีความสุขจนกว่ามันใกล้จะเลิก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การหักห้ามไม่ให้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เหตุผลเพราะว่างานเลี้ยงนั้นมันมีแรงดึงดูดสูง มันเสนอโอกาสทำกำไรได้อย่างรวดเร็วที่ทำให้คนอยากทำ ส่วนการ “ลุกออกมาให้ทัน” ก่อนงานเลี้ยงเลิกเองนั้นยิ่งยากใหญ่ ตัวอย่างของหุ้นที่งานเลี้ยงเลิกรานั้น มักจะเกิดขึ้นแบบ “กระทันหัน” ไม่คาดคิด ก่อนหน้าที่หุ้นจะตกอย่างแรงนั้น หุ้นก็ยังมักจะดูดี ผลประกอบการอาจจะด้อยลงบ้างแต่ก็มักจะมีเหตุผลพอฟังได้ เรื่องราวที่ไม่ดีเองนั้น ผลกระทบก็ไม่น่าจะแรง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราออกไม่ทัน ความคิดของผมก็คือ ถ้าเราไม่ได้เป็นคนจัดงานเลี้ยงเอง โอกาสที่เราจะลุกได้ทันมักจะมีน้อย ถ้าโชคดีเราก็อาจจะแค่ “เสมอตัว”

วิธีที่จะหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงได้ดีที่สุดนั้นผมคิดว่าอยู่ที่การสังเกตพฤติกรรมของหุ้น หุ้นที่อยู่ ๆ ราคาก็วิ่งไปเร็วมากนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการโปรโมตและมีข่าวมากมายนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มี Market Cap. สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจและมีค่า PE จากการดำเนินธุรกิจปกติสูงมากเกิน 30-40 เท่าขึ้นไปนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการ “เติบโต” สูงมาก ประเภท 30-40% ต่อปีนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีกำไรซึ่งวัดด้วยกำไรต่อยอดขายสูงมากทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงธุรกิจแบบหน้ามือเป็นหลังมือนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการดำเนินงานในต่างประเทศมาก ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำกำไรมาก ๆ นั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการเพิ่มทุนมาก ๆ และจ่ายปันผลน้อยเมื่อเทียบกับกำไรนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดหุ้นและการเล่นหุ้นสูงนั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีการใช้ “วิศวกรรมการเงิน” บ่อย ๆ นั้น น่าสงสัย หุ้นที่มีงบการเงินที่มีข้อสังเกตหรือข้อสงสัยจากผู้สอบบัญชีนั้น น่าสงสัย และหุ้นที่เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่มีการขายหุ้นตลอดเวลาหรือซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นตลอดเวลานั้น น่าสงสัย

ผมคงไม่สามารถพูดถึงข้อสงสัยไปมากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่น่าสงสัยจะต้องเป็นเรื่องที่จะตัดเราจากการเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวนั้น เพียงแต่ว่าเราจะต้องพิจารณามากขึ้นว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไร มันจะเป็นหุ้นที่เป็นงานปาร์ตี้ที่เชื้อชวนให้เราเข้าไปร่วมหรือไม่