ยิ่งโลกปั่นป่วน เรายิ่งต้องเกาะติดโลก

ยิ่งโลกปั่นป่วน เรายิ่งต้องเกาะติดโลก

คนไทยที่สนใจความเป็นไปของโลก เพื่อทำความเข้าใจว่าประเทศไทย ควรจะปรับตัวกับสถานการณ์

ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง คงจะต้องเกาะติดทุกเรื่องที่กำลังเป็นข่าวใหญ่พร้อม ๆ กันโดยไม่ได้นัดหมาย

และทุกเรื่องล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อเราไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

เริ่มด้วยเรื่องสหรัฐ ที่มีผู้นำชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งทำให้ดุลถ่วงมหาอำนาจพลิกด้านอย่างฉับพลัน ทำให้จีนผงาดขึ้นมามีบทบาทระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ, โลกร้อนหรือการขยายอิทธิพลด้วย soft power ในทุก ๆ ด้าน

ทรัมป์ต้องเผชิญกับปัญหาการเมืองภายในและข้างนอกที่สร้างปัญหาหนักหน่วงพอ ๆ กัน จนจุดที่ทำให้เกิดคำถามว่าเขาจะอยู่รอด 4 ปีหรือไม่

การให้การของอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอเจมส์ โคมีว่าด้วยสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนกับทรัมป์กรณีการสอบสวนของเอฟบีไอ เรื่องโยงใยถึงรัสเซียกลายเป็นหัวข้อร้อนแรง คนทั่วโลกเฝ้าหน้าจอทีวีในวันที่มีการถ่ายทอดสดถึง 3 ชั่วโมงเต็ม

ผลจากการให้การของโคมีครั้งนี้จะต้องถูกนำไปประกอบ การสอบสวนของอัยการพิเศษโรเบิร์ท มูลเลอร์ ซึ่งเป็นอดีต ผอ.เอฟบีไออีกคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็น “ไม้บรรทัด” ในการทำหน้าที่เช่นกัน

ขณะเดียวกันทรัมป์ก็ต้องเผชิญกับการท้าทายจากเกาหลีเหนือ ที่ยังคงทดลองขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องโดยไม่ยำเกรงต่อคำขู่ ที่สหรัฐและพันธมิตรจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อเปียงยางอย่างไม่ลดละ

อีกด้านหนึ่งของโลกก็กำลังป่วนเพราะหกประเทศในอ่าวเปอร์เซีย นำโดยซาอุดีอาระเบียประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูต กับกาตาร์ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ร่ำรวยและมีแนวทางนโยบายต่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องเดินตาม “พี่ใหญ่”

กาตาร์เป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายเช่น IS, Muslim Brotherhood และอัลไกด้า อีกทั้งยังถูกมองว่าไปคบหากับอิหร่านอีกด้วย

เมื่อซาอุฯกับอิหร่านเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมายาวนาน และกาตาร์ถูกมองด้วยความระแวงว่าเอาใจออกห่างประเทศใน Gulf Cooperation Council (GCC) ก็กลายเป็นเป้าของการกดดันอย่างหนักในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่ม ISIS บุกก่อการร้ายถึงรัฐสภาและสุสานสำคัญของอิหร่านในกรุงเตหะราน สังหารคนไม่น้อยกว่า 12 และบาดเจ็บเกือบร้อยคน

ขณะที่ผลเลือกตั้งในอังกฤษล่าสุดก็ทำให้เกิดอาการช็อครอบใหม่หลัง Brexit เพราะพรรคอนุรักษ์นิยมของนายกฯเทเรซ่า เมย์ไม่สามารถได้ที่นั่งเกินครึ่งเพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

กลายเป็น hung parliament ซึ่งแปลว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง จำเป็นต้องตั้งรัฐบาลผสม อันหมายความว่ารัฐบาลอังกฤษไม่อาจจะเดินหน้าในการเจรจาถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปด้วยเงื่อนไขที่จะเป็นประโยชน์กับตนเองได้ดั่งที่นายกฯเมย์รับปากไว้ในวันที่ประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

เดิมการตัดสินใจเช่นนั้นก็เพื่อให้คนอังกฤษหย่อนบัตรเลือกพรรครัฐบาลเข้ามาให้มากกว่าเดิมเพื่อจะได้ “อาณัติอันชัดเจน” ในการเดินหน้า Brexit

แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ทำให้สถานภาพของเมย์อ่อนปวกเปียก ไม่อาจจะให้ความมั่นใจแก่คนอังกฤษได้เลยแม้แต่น้อย

นี่เป็นเพียงข่าวใหญ่จากหลายมุมโลกที่คนไทยจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะทุกเรื่องล้วนมีส่วนโยงใยกับผลประโยชน์ของไทยทั้งสิ้น

ผมสัมผัสได้ถึงความสนใจของคนไทยในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ ต่อข่าวจากนอกบ้านเพราะตระหนักถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจกับความเป็นไปของโลก

ยิ่งเมื่อมีเหตุก่อการร้ายบ่อยขึ้น แรงขึ้นในจุดต่าง ๆ ของโลก ก็ยิ่งทำให้คนไทยตื่นตัว คอยเกาะติดข่าวคราวและความเคลื่อนไหว เพื่อหาคำอธิบายว่า

โลกนี้กำลังจะปรับเปลี่ยนไปทิศทางไหน และไทยจะอยู่จุดไหนของความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

ยุคแห่ง “ไทยเราเป็นข้อยกเว้น” จึงไม่ต้องสนใจเรื่องราวของคนอื่นจบสิ้นมานานแล้วครับ