พฤติกรรมของคนกับสื่อสังคมออนไลน์

พฤติกรรมของคนกับสื่อสังคมออนไลน์

พฤติกรรมของคนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากในอดีต ก่อนที่สื่อสังคมออนไลน์ จะแพร่หลายเช่นในปัจจุบัน

 นักวิชาการต่างๆ ได้เริ่มศึกษาวิจัย ทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเนื่องจากสื่อสังคมออนไลน์ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการด้วยกัน

เริ่มตั้งแต่การสื่อสาร ที่คนจะพูดคุยกันน้อยลง แต่สื่อสารผ่านทางแอพลิเคชั่นบนมือถือหรือผ่านสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ผลการวิจัยค้นพบว่าสาเหตุที่คนชอบสื่อสารผ่านเทคโนโลยีมากกว่าเจอหน้าคุยกันนั้น เนื่องจากการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีนั้นง่ายกว่าและเหนื่อยน้อยกว่าการพูดคุยแบบเห็นหน้า เมื่อเราสื่อสารแบบเห็นหน้าหรือที่เรียกว่า face to face นั้นสมองจะทำงานหนักขึ้น เนื่องจากการสนทนาที่ดีจะต้องมีอารมณ์ร่วมไปกับคู่สนทนาด้วย นอกจากนี้เมื่อสื่อสารแบบเจอหน้านั้น นอกจากสื่อสารกันผ่านทางภาษาพูดแล้ว ยังมีการสื่อสารผ่านทางอวัจนะภาษา หรือ ภาษากายด้วย ซึ่งภาษากายนั้นก็เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ทำให้คู่สนทนาเข้าใจกันและกันมากขึ้น

อย่างไรก็ดี เมื่อสื่อสารผ่านเทคโนโลยี จะไม่มีการส่งอารมณ์กันไปมาหรือการมีอารมณ์ร่วมเหมือนเจอหน้ากัน ทำให้การเข้าไปมีส่วนร่วมทางอารมณ์ในระหว่างการสื่อสารนั้นน้อยลง พร้อมกันนี้เนื่องจากไม่เห็นหน้า กิริยา ไม่ได้ยินเสียงของคู่สนทนา ก็ทำให้สมองส่วนที่ต้องไปรับรู้หรือแปลภาษากายนั้น ไม่ต้องทำงานหนักด้วย สรุปคือการสนทนา หรือ สื่อสาร ผ่านทางเทคโนโลยีนั้น ทำให้การทำงานของทั้งสมองและอารมณ์นั้น น้อยกว่าการสื่อสารแบบ face to face ทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อยเท่า และนำไปสู่การเลือกที่จะสื่อสารผ่านเทคโนโลยีมากกว่าแบบเห็นหน้ากัน

นอกจากเรื่องการสื่อสารแล้ว สังคมออนไลน์อย่างเช่น Facebook หรือ Instagram ก็ยังนำไปสู่การศึกษาใหม่ๆ ทางด้านจิตวิทยา ถึงขั้นที่เรียกกันว่า Psychology of Social Media ซึ่งจากที่ค้นพบนั้นยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในด้านประโยชน์และโทษของสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นตรงกันว่าคนส่วนใหญ่เข้าใช้สื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้เพื่อเชื่อมต่อกับผู้อื่น และทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม อย่างไรก็ดีมีคนกลุ่มหนึ่งใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเข้าไปเปรียบเทียบทางสังคมกับผู้อื่น (แบบไม่รู้ตัว) ซึ่งการเปรียบเทียบทางสังคมนั้นอาจจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าไปเปรียบเทียบกับผู้ที่มีมากกว่าหรือมีน้อยกว่า

มีการวิจัยที่พบว่าการเข้าไปเปรียบเทียบกับผู้ที่มีมากกว่า (เช่น ได้ท่องเที่ยว ได้รับการยกย่อง ได้กินอาหารอร่อย ได้ประสบการณ์ดีๆ ฯลฯ) มักจะนำไปสู่การสูญเสียความมั่นใจในตนเองและอาจจะนำไปสู่อาการหดหู่ได้ แถมยังอาจจะนำไปสู่การคิดว่าชีวิตของผู้อื่นนั้นดีกว่าตัวเอง

อย่างไรก็ดีผลสรุปดังกล่าวใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานแต่ละคนเข้าไปดูสื่อสังคมออนไลน์เพื่ออะไร นอกเหนือจากการเข้าไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว ยังมีบางคนเพียงแค่เข้าไปดูข่าวคราวต่างๆ หรือ เข้ารู้เห็นเรื่องชาวบ้าน

ล่าสุดมีงานวิจัยเกี่ยวกับการได้รับการกด “ไลค์” ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่าจะส่งผลต่อการทำงานของสมองของเด็กวัยรุ่นอย่างไร (ผู้วิจัยคงอยากจะทราบทำไมวัยรุ่นเมื่อโพสต์แล้วถึงต้องการ “ไลค์” เยอะๆ) โดยการทดลองนี้จะมีการสแกนสมองของวัยรุ่นในขณะที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์

ผลสรุปก็คือเมื่อรูปหรือข้อความที่ตนโพสต์ได้รับไลค์เยอะๆ สมองของวัยรุ่นในบางส่วนจะมีการทำงานที่มากขึ้น ซึ่งส่วนที่ทำงานมากขึ้นนั้น จะเป็นส่วนเดียวกับที่ทำงาน เมื่อได้รับประทานช็อกโกแลต หรือ เมื่อได้เงินมาแบบลาภลอย การได้รับการกดไลค์เยอะๆ จะทำให้วัยรุ่น (จริงๆ เชื่อว่ามีวัยไม่รุ่นด้วย) มีความสุขนั้นเอง

สรุปคือสื่อสังคมออนไลน์ทำให้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมและแนวคิดจริงๆ เพียงแต่จะมากน้อยเพียงใดคงจะต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยนะครับ