เมื่อทรัมป์บอก ผอ.เอฟบีไอ : ปล่อยไอ้เรื่องสอบสวนนั่นไปเสีย!
บันทึกของเจมส์ โคมี อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ ที่ให้การกับคณะกรรมาธิการข่าวกรอง ของวุฒิสภาสหรัฐ
มี “ระเบิดเวลา” หลายลูกที่อาจทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนกันเลยทีเดียว
เมื่อวานผมเอาบันทึกส่วนที่ทรัมป์เชิญโคมีไปกินข้าวสองต่อสองที่ทำเนียบขาว และพูดทำนองว่าหากโคมีต้องการจะอยู่ในตำแหน่ง ผอ. เอฟบีไอต่อก็ต้องแสดงความ “จงรักภักดี” ต่อเขา
พูดง่ายๆ คือต้องสนองนโยบายของเขา
แต่โคมีอธิบายให้ทรัมป์ฟังว่าเขาจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และนั่นจะเป็นผลดีต่อทรัมป์เองในฐานะประธานาธิบดี เพราะจะทำให้ประชาชนมีความเลื่อมใสศรัทธาทั้งทำเนียบขาวและเอฟบีไอ
อีกตอนหนึ่งของบันทึกนั้นคือเหตุการณ์ที่ทำเนียบขาววันที่ 14 กุมภาพันธ์ปีนี้
หลังจากที่ทีมคณะผู้บริหารข่าวกรองไปบรรยายสรุปให้ทรัมป์ฟังแล้ว ทรัมป์ก็ขอให้โคมีอยู่ต่อไปเพื่อคุยกันสองคน
ทรัมป์บอกโคมีว่าเขาอยากให้โคมีระงับการสอบสวนความโยงใยระหว่าง Mike Flynn (ที่ปรึกษาความมั่นคงของทำเนียบขาว ที่เพิ่งจะถูกบีบให้ลาออกก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเพราะมีข่าวพัวพันกับรัสเซีย)
ทรัมป์บอกว่าไมค์ ฟลินเป็นคนดี ไม่ได้ทำอะไรผิด และแม้จะเจอกับรัสเซียก็ไม่ได้ทำอะไรที่ละเมิดกฎหมาย แต่ที่ต้องออกเพราะได้รายงานเรื่องที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงต่อรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์
และแล้วทรัมป์ก็บอกโคมีว่า
“I hope you can see your way clear to letting this go, to letting Flynn go. He is a good guy. I hope you can let this go.”
ประโยคนี้ไม่ต้องตีความให้ยาก ชัดแจ้งว่าคนเป็นประธานาธิบดีขอให้ผู้อำนวยการ FBI ระงับการสอบสวนซึ่งเป็นประเด็นที่กระทบความปลอดภัยของประเทศ
คำว่า “let this go” คือการ “ปล่อยให้ผ่านไป”
หากเป็นภาษาการเมืองไทยก็คือการที่ผู้นำประเทศบอกให้หัวหน้าใหญ่ในการสอบสวนคดีร้ายแรงหยุดกระบวนการนั้นเสีย เท่ากับเป็นการ “ละเว้นปฏิบัติหน้าที่” อย่างชัดเจน
โคมีเขียนในบันทึกนั้นว่า
“I replied only that he is a good guy…I did not say I would let this go…”
แปลว่าผู้อำนวยการเอฟบีไอเห็นด้วยว่าผู้ถูกสอบสวนเป็น “คนดี” แต่ไม่ได้รับปากว่าจะ “ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป”
ความจริงใครจะเป็น “คนดี” หรือไม่เป็นเรื่องความรู้สึกของแต่ละคน แต่ใครเป็น “คนดี” หรือไม่ย่อมไม่เกี่ยวกับการที่จะมีสิทธิไม่ถูกสอบสวนเมื่อมีประเด็นที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายบ้านเมือง
อย่างนี้ทรัมป์อ้างไม่ได้ว่าเป็นการแสดงความเห็นเฉย ๆ ไม่ใช่การสั่งการหรือกดดันให้หัวหน้าเอฟบีไอละเว้นการทำหน้าที่ของตัวเอง
อีกกรณีหนึ่งเกิดเรื่องวันที่ 30 มีนาคม
วันนั้นทรัมป์โทรศัพท์ไปหาโคมี บอกว่าการที่เอฟบีไอสอบสวนความโยงใยเรื่องรัสเซียกับทีมงานหาเสียงของประธานาธิบดีเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ
ทรัมป์เรียกมันว่าเป็น “a cloud” หรือเป็น “เมฆหมอก” ที่มากำบังการทำหน้าที่ของเขาในฐานะประธานาธิบดี
ทรัมป์บอกโคมีว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพ่อเล้าแม่เล้ารัสเซียอย่างที่บางแหล่งข่าวกล่าวหา ดังนั้นขอให้เอฟบีไอออกมาประกาศว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเป็นทางการเสียที
โคมีบอกว่าเขารับปากได้แต่เพียงว่าจะเร่งการสอบสวนให้รวดเร็วที่สุดเพื่อให้ความจริงประจักษ์
วันที่ 11 เมษายน ทรัมป์โทรฯหาโคมีอีกเพื่อถามว่าเมื่อไหร่จะออกแถลงการณ์ว่าเขาไม่ได้ถูกสอบสวนเรื่องความพัวพันกับรัสเซีย
โคมีตอบว่าเขาได้ส่งเรื่องนี้ไปที่รักษาการรองรัฐมนตรียุติธรรม (Dana Boente) เพื่อตัดสินใจประเด็นนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบมาว่าจะให้ทำอย่างไร
ทรัมป์บอกว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะให้คนในทำเนียบขาวติดต่อไปยังกระทรวงยุติธรรมเอง
โคมีบอกว่าถูกต้องแล้ว ที่ปรึกษาทำเนียบขาวควรจะติดต่อระดับนำของกระทรวงยุติธรรมเพื่อทำตามคำร้องขอของประธานาธิบดี ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่ควรจะทำอยู่แล้ว
ทรัมป์ตอบว่าเขาจะเดินตามแนวทางนั้น และเสริมว่า
“Because I have been very loyal to you, very loyal; we had that thing you know…”
ตีความได้ว่าทรัมป์บอกโคมีว่าเขาเองก็ “จงรักภักดี” โคมีมาตลอด
แต่ที่ทรัมป์อ้างถึง “that thing” (ไอ้นั่น) คืออะไร โคมีบอกว่าไม่ได้ถามทรัมป์
และยังคงเป็นปริศนาดำมืดถึงวันนี้
สรุปว่าบันทึกของอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอคนนี้ กำลังจะกลายเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงวิธีทำงาน, วิธีคิดและการใช้วิธีกดดันคนรอบข้างเพื่อให้ตนได้ประโยชน์แห่งตนอย่างไรบ้าง
ระเบิดเวลาหลายลูกในบันทึกฉบับนี้กำลังรอเวลาตูมตามเท่านั้น