เก็บหุ้นปันผล หลบตลาดผันผวน

เก็บหุ้นปันผล หลบตลาดผันผวน

เก็บหุ้นปันผล หลบตลาดผันผวน

เราจะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานี้ ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนสลับบวกลบอยู่ตลอด โดยรวมเป็นทิศทางแบบทรงตัว (Side way) ในกรอบ 1,530 – 1,580 จุด มาตลอด แม้ในบางช่วงจะมีข่าวในเชิงบวกมากระตุ้นตลาดบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นมามากนักเนื่องจากต้องยอมรับ Valuationโดยรวมของตลาดก็ถือว่าไม่ถูกเสียทีเดียว ทำให้ทุกครั้งที่ตลาดมีข่าวดีแล้วหุ้นปรับตัวขึ้นก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมาและก็มีแรงซื้อให้รีบาวน์กลับมาเช่นเดียวกันเมื่อปรับตัวลงไปมาก เป็นภาวะตลาดที่วิ่งตามปัจจัยบวกลบพอสมควร การจับจังหวะลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจึงค่อนข้างยาก นักลงทุนมองหาหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยเด่นๆ เล่นกันเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงยังต้องปรับพอร์ตการลงทุน หันมาเล่นเก็งกำไรระยะสั้น หรือลดพอร์ตเพื่อถือเงินสดรอจังหวะเข้าลงทุน

ทั้งนี้ หากมองไปในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ผมก็ยังประเมินว่า ตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะจากปัจจัยเรื่องการเมืองสหรัฐฯ , ราคาน้ำมันรวมทั้งปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งโดยรวมน่าจะทำให้ ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวแบบ Side way ต่อเนื่อง ผมจึงอยากแนะนำนักลงทุนพิจารณาหุ้นกลุ่มประเภท Defensiveที่มีผลตอบแทนในลักษณะคงเส้นคงวา และสามารถให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี เป็นกลุ่มที่น่าลงทุนได้ในระยะนี้ครับ

โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงและคงเส้นคงวานั้น ผมพิจารณาจากปัจจัยหลักๆ คือ

1.) เป็นหุ้นที่มีการทำธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยงมากจนส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทบิดเบือนไป

2.) ต้องพิจารณาผลประกอบการว่า สามารถจ่ายปันผลได้ในระดับที่คาดการณ์ไว้

3.) ราคาหุ้นต้องมีความเสี่ยงในเรื่องการปรับตัวลงของราคาไม่มาก

โดยรวมหุ้นกลุ่มที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวข้างนั้น ได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสารและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์บางตัว อาทิ เช่น INTUCH , PSH หลักทรัพย์ที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ REIT / Infrastructure อาทิ เช่น JASIF , BTSGIF , DIFซึ่งให้ผลตอบแทนปัจจุบันเฉลี่ย 8% ต่อปี เป็นกลุ่มที่ถือว่าสามารถลงทุนได้ในช่วงภาวะตลาดแบบนี้ครับ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหุ้นปันผลยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าไปเก็บสะสม แต่ต้องจับตามองเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากปรับขึ้นเร็วและมาก ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้นและลดความน่าสนใจของหุ้นปันผลลงไปได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นประเภท Growth แล้ว ในช่วงนี้หุ้นปันผลถือว่าดูดีกว่าเนื่องจากระดับของหุ้น Growth ตอนนี้ถือว่าแพงและด้วยปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นนักลงทุนจึงอาจไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก

ดังนั้นผมอยากแนะนำนักลงทุนให้ลองพิจารณาเพิ่มหุ้นปันผลเข้าพอร์ตลงทุนที่ประมาณ 20-30% ของพอร์ต ในช่วงระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีจากนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของตลาดที่ยังไม่มีปัจจัยบวกชัดเจน แม้หุ้นประเภท Growth สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นปันผลในช่วงที่ตลาดไม่แย่มากนัก

ตลาดหุ้นแม้ในสภาวะที่มีปัจจัยเสี่ยงและมีความผันผวนมากก็ตาม แต่ก็ยังมีโอกาสลงทุนได้เสมอ ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาดูจากนี้คือเรื่องการลด QE ของธนาคารกลางใหญ่ๆ โดยเฉพาะ สหรัฐฯ หากปรับลดลงมากก็จะมีผลทำให้เงินทุนไหลออกจากระบบเดิมไปสู่ตลาดที่มองว่าให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งตลาดหุ้นกลุ่มประเทศไหนที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนไม่ดี ตลาดอาจมีเงินไหลอออกหนักๆได้

นักลงทุนอาจพิจารณาสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ทั้ง ตราสารหนี้ , กองทุนรวม , และการลงทุนอัตโนมัติ KTBST Smart ALgo ขณะเดียวกันสามารถเลือกการลงทุนด้วยการทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกๆเดือน สม่ำเสมอ ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ KTBST Smart DCA เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวครับ สนใจสามารถติดต่อที่ปรึกษาการลงทุน KTBST Private Wealth Management ได้ที่ 02 648-1747 / 1458 / 1777