บันทึกของอดีตผอ. เอฟบีไอ: ทรัมป์สำทับ คุณต้องจงรักภักดีต่อผม

บันทึกของอดีตผอ. เอฟบีไอ: ทรัมป์สำทับ คุณต้องจงรักภักดีต่อผม

ผมอ่านเอกสาร 7 หน้าของเจมส์ โคมี อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ ว่าด้วยการพบปะพูดจาระหว่างเขา กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

 ที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐ แล้วสรุปได้ว่าใครเอาไปทำหนังฮอลลีวู๊ดจะติดอันดับยอดนิยมทันที

ทรัมป์พูดคุยกับโคมีในฐานะผู้อำนวยการ FBI เหมือนเป็นลูกจ้างของบริษัทส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่หน่วยงานแห่งนี้ต้องทำงานอย่างเป็นอิสระ จากอิทธิพลทางการเมือง เพราะต้องสืบสวนสอบสวนคนทุกระดับชั้น รวมถึงตัวประธานาธิบดีด้วยหากมีเรื่องราวที่ผิดกฎหมาย

ในบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรนี้ โคมีเขียนไว้อย่างละเอียด ไม่เพียงแต่ว่าพูดคุยอะไรกันเท่านั้น แต่ยังบรรยายถึงอารมณ์และความรู้สึก ในขณะที่สนทนากับทรัมป์ ทั้งที่กินข้าวเย็นด้วยกันในทำเนียบขาว และผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์

อ่านแล้วต้องสรุปว่าทรัมป์คงจะรอดจากการถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนได้ยาก!

ตอนหนึ่งของบันทึกนี้เล่าถึงมื้อเย็นที่ทรัมป์ได้โทรฯ ไปเชิญมากินข้าวที่ทำเนียบขาว

ตอนแรก ทรัมป์บอกว่าขอให้มาพร้อมครอบครัว แต่โคมีตัดสินใจไปคนเดียว เพราะฟังดูทางโทรศัพท์แล้วไม่แน่ใจว่าใครจะมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เขาจึงบอกทรัมป์ว่าถ้าจะเอาครอบครัวไปกินข้าวด้วย ขอเป็นครั้งต่อไปก็แล้วกัน

ลงท้ายก็กินข้าวกันสองคนเท่านั้น โดยมีทหารเรือสองคนเป็นบริกรเสิร์ฟอาหาร

พอเริ่มกินข้าวในห้อง Green Room ของทำเนียบขาว ทรัมป์ถามโคมีว่าเขาอยากจะอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอต่อหรือไม่

“ผมฟังคำถามนั้นแล้วก็แปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้เขาได้บอกผมสองครั้ง ว่าเขาหวังว่าผมจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป และผมก็ได้บอกเขาไปว่าผมจะอยู่ต่อ แล้วเขาก็บอกว่าคนอยากได้ตำแหน่งนี้เยอะ และเพราะเขารู้ว่าผมถูกกลั่นแกล้งหลายเรื่องในปีที่ผ่านมา เขาจะเข้าใจหากผมอยากจะเดินหนีจากตำแหน่งนั้น...”

โคมีบอกว่าท่วงทำนองของบทสนทนาอย่างนั้น ทำให้เขาเริ่มจะคิดว่าทรัมป์คงจะต้องการสร้างบรรยากาศ ให้เขาต้องขอร้องทรัมป์ให้เขาอยู่ในตำแหน่งนั้นต่อไป “เพื่อจะสร้างความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์ขึ้น... ซึ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลอย่างยิ่งด้วยเหตุที่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา เอฟบีไอมีสถานภาพที่เป็นอิสระในการทำหน้าที่ แม้จะอยู่ภายในกรอบของฝ่ายบริหารก็ตาม”

โคมีตอบว่าเขารักงานที่ทำ และตั้งใจจะอยู่ให้ครบเทอมสิบปี

ด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัดกับบทสนทนานั้น โคมีบอกทรัมป์ว่าเขาไม่ใช่คนที่ “ไว้วางใจได้” (reliable) ในความหมายของนักการเมือง แต่เชื่อได้ว่าเขาจะ

”พูดความจริง” ต่อทรัมป์เสมอ

โคมีบอกทรัมป์ว่าเขาไม่ถือหางทางการเมืองฝ่ายใด และไม่ควรจะคาดหวังว่าจะ “พึ่งพาได้” ในความหมายทางการเมืองแบบดั้งเดิม

ผมบอกว่าจุดยืนของผมอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขาในฐานะประธานาธิบดี”

โคมีเขียนเล่าต่อว่าอีกไม่กี่นาทีต่อมา ทรัมป์ก็บอกว่า

I need loyalty, I expect loyalty.”

แปลตรงตัวก็คือ “ผมจำเป็นต้องได้ความจงรักภักดี (จากคนร่วมงาน) และผมคาดหวังจะได้ความจงรักภักดีนั้น”

ความหมายของประโยคของทรัมป์คือ เขาต้องการให้ทุกคนมีความสัตย์ซื่อต่อเขา พูดง่าย ๆ คือไม่ทำอะไรหรือพูดอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา

หากเป็นภาษาการเมืองแบบไทย ๆ ก็น่าจะเหมือนกับวลี “สนองนโยบาย” ของท่านผู้นำนั่นแหละ

โคมีบอกว่าได้ยินอย่างนี้เขาก็นิ่งอึ้ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พูด ไม่เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างไร

มันเป็นช่วง “ความเงียบงันที่กระอักกระอ่วน”

“เราเพียงแค่มองตากันและกันในความเงียบ... บทสนทนาก็เปลี่ยนหัวข้อไป แต่ในช่วงท้าย ๆ ของการกินข้าวเย็นมื้อนั้น เขาก็กลับมาพูดเรื่องนี้อีก...”

ทรัมป์บอกโคมีว่าเขาดีใจที่โคมีตั้งใจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และได้ยินคำชื่นชมเขาจากรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรียุติธรรมและคนอื่น ๆ

และแล้วทรัมป์ก็ตอกย้ำกับโคมีอีกว่า “I need loyalty”

เป็นการสำทับว่าหากโคมีจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็ต้องแสดงความจงรักภักดีต่อเขา

โคมีตอบว่า “You will always get honesty from me”

แปลว่า “ท่านจะได้ความซื่อสัตย์จากผมตลอดเวลา”

เป็นการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ตอบสนองเงื่อนไขของทรัมป์ ที่จะให้โคมีรับปากว่าจะไม่ทำอะไรที่ทรัมป์ไม่ชอบ

ทรัมป์ชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า

That’s what I want, honest loyalty.”

นี่เป็นศัพท์ใหม่ที่ทรัมป์คงจะคิดขึ้นเอง ณ นาทีนั้น เพราะคำว่า “ความจงรักภักดีที่ซื่อสัตย์” นั้นฟังดูแปลก ๆ

โคมีบอกว่าเขาหยุดคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า

You will ge that from me”

แปลว่า “ท่านได้สิ่งนั้นจากผม”

โคมีบอกว่าเขารีบเขียนบันทึกบทสนทนานี้ทันทีที่กินข้าวมื้อนั้นเสร็จ

“เป็นไปได้ว่าเราทั้งสองตีความคำว่า honest loyalty ที่ต่างกัน แต่ผมก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะต่อล้อต่อเถียงประเด็นของความหมายของคำนี้”

นี่เป็นเพียงตอนเดียวของบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของโคมี ที่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกทรัมป์ปลดจากตำแหน่ง

บันทึกฉบับนี้อื้อฉาวเกรียวกราวแน่นอน พรุ่งนี้ว่าต่อครับ!