น้ำทะเลจะท่วม กทม : อย่าเชื่อนักวิทย์ฯ ไร้จรรยา

น้ำทะเลจะท่วม กทม : อย่าเชื่อนักวิทย์ฯ ไร้จรรยา

ที่ผ่านมามีนักวิทยาศาสตร์ ออกมาบอกว่าน้ำทะเลจะท่วมกรุงเทพมหานครในปี 2563

 โพทะนากันจนไม่รู้ว่าหวังให้ชาวบ้านกลัวจน “ขี้ขึ้นสมอง” หรืออย่างไร เรามาดูกันว่าประเทศอื่นเขาคิดถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง จะส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์อย่างไรบ้าง ที่สำคัญเราต้องมองออกไปรอบบ้าน อย่าให้คนในบ้าน (นักวิทย์ฯ ไทย) หลอกเราได้

สิงคโปร์ สำนักงานเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแห่งชาติ (National Climate Change Secretariat) ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา น้ำทะเลขึ้นปีละ 1.2-1.7 มิลลิเมตร ตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา (http://bit.ly/1xPXdqm) บัดนี้ผ่านมา 45 ปี หากเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5 มิลลิเมตร ก็เท่ากับเพิ่มขึ้น 67.5 มิลลิเมตร (หรือ 6.75 เซนติเมตร หรือ 0.0675 เมตร) ซึ่งก็พอๆ กับประเทศไทย ไม่ได้ขึ้นมากหรือน้อยกว่ากันนัก

นี่แสดงว่าหากมีการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล 2 เมตร (2,000 มิลลิเมตร) ในอีก 20 ปีข้างหน้า (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ดังที่นักวิทย์ฯ ไทยโพทะนา) ป่านนี้สิงคโปร์คงเต้นเป็นเจ้าเข้าไปแล้ว ผมไปดูงานที่สิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 2538 พบว่าที่สิงคโปร์ เขาวางแผนระยะยาว 20, 30 แต่เดี๋ยวนี้วางแผนไปถึง 50 ปีล่วงหน้าแล้ว และอาจถึง 100 ปีล่วงหน้าในไม่ช้านี้ ถ้าสิงคโปร์ “บ้าจี้” เหมือนที่ไทยโดนนักวิทย์ฯ “เป่าหู” ป่านนี้ก็คงสร้างกำแพงรายล้อมสิงคโปร์ไว้แล้วอย่างแน่นอน แต่นี่เขาเฉยมากเลย

มาเลเซีย ทีนี้มาดูการคาดการณ์ของมาเลเซียกันบ้าง มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2643 หรือ (ค.ศ.2100) หรืออีก 83 ปีข้างหน้า น้ำทะเลในบริเวณรอบๆ ประเทศมาเลเซียจะขึ้นแน่นอน แต่ไม่ได้ขึ้น 2 เมตร 10 เมตร 20 เมตร หรือมากกว่านั้นตามที่นักวิทย์ฯ ไทยกล่าวอ้าง (ส่งเดช) แต่อย่างใด แต่จะขึ้น 0.253 เมตร หรือ 25.3 เซ็นติเมตร บริเวณใกล้ๆ กับสิงคโปร์ จนถึงประมาณ 1.604 เมตร ในบริเวณเกาะบอร์เนียว ใกล้ๆ กับบรูไน (http://bit.ly/2sxeFWS) ทั้งนี้คงเป็นเพราะแถวนั้นมีการสูบน้ำมันออกมาขายมากเป็นพิเศษหรืออย่างไร

จะสังเกตได้ว่าบริเวณแถวสงขลา-ปัตตานี น่าจะมีน้ำทะเลขึ้นสูงเฉลี่ยราว 40 เซนติเมตร ภายในเวลา 83 ปีข้างหน้า ไม่ใช่ 200, 500 หรือ 2,000 เซนติเมตรแบบที่เราได้รับการ “กรอกหู” มาโดยนักวิทย์ฯ ไทย แสดงว่าอะไรได้อีกนอกจากจะบอกว่า “ย.ห.” (อย่าห่วง) ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เหลียวแลปัญหาแบบนี้ แต่ว่าอย่าได้ถูกปั่นหัวให้กลัวจน “ขี้ขึ้นสมอง” หรือ “กลัวเป็นบ้าเป็นหลัง” ไปก็แล้วกัน ต้องใช้วิจารณญาณ หาไม่คนไทยเราก็จะถูกหลอกเรื่อยไปนั่นเอง

กัมพูชา ณ นครสีหนุวิลล์ องค์การสหประชาชาติ (UN HABITAT) ได้จัดทำรายงานขึ้นชิ้นหนึ่ง (http://bit.ly/2rYe9o0) ระบุว่าในปี 2568 (ค.ศ.2025) น้ำทะเลขึ้นจะมีผลต่อเรือประมงในระดับเล็กน้อย ต่อที่อยู่อาศัยในระดับปานกลาง ต่อการกัดเซาะรุนแรง ต่อถนนหนทางในระดับปานกลาง แต่ในรายงานไม่ได้มีรายละเอียดผลการสำรวจมากนัก แต่จากการไปสังเกตการณ์ของผมเองในปี 2559 พบว่าที่นครสีหนุวิลล์แห่งนี้ มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ชายฝั่งก็สวยงาม ไม่พบการกัดเซาะรุนแรงแต่อย่างใด

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเซีย หรือ Asian Development Bank ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบกว่า ในรอบ 120 ปี (พ.ศ.2443 - 2563) ส่วนใหญ่น้ำทะเลขึ้นเพียงเล็กน้อย (http://bit.ly/2rY6Hcu) ดังนี้:

- นครแคนตอน ประเทศคีริบาติ น้ำทะเลเพิ่มขึ้นราว 7 เซนติเมตร

- นครมุมไบ ประเทศอินเดีย น้ำทะเลเพิ่มราว 10 เซนติเมตร

- ประภาคารรัฟเฟิล สิงคโปร์ น้ำทะเลเพิ่มขึ้นราว 10 เซนติเมตร

- นครดาเวา ประเทศฟิลิปปินส์ น้ำทะเลเพิ่มราว 60 เซนติเมตร

- นครนากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น น้ำทะเลเพิ่มขึ้นราว 20 เซนติเมตร

- นครเซียะเหมิน ประเทศจีน น้ำทะเลเพิ่มราว 13 เซนติเมตร

โดยนัยนี้จึงไม่ต้องตกอกตกใจไปมากเป็นพิเศษแต่อย่างใด การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลนั้น เป็นไปอย่างช้า ๆ ต่อให้น้ำแข็งจากขั้วโลกทั้งสองขั้วละลายหมด ก็เพิ่มปริมาณน้ำขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณน้ำที่ขั้วโลกมีไม่ถึง 1% ของน้ำทั่วโลก เพราะปริมาณน้ำที่เป็นรูปของน้ำแข็งและหิมะ มีเพียง 1.7% ของน้ำทั้งโลก ถ้าในกรณีน้ำที่อยู่ทั่วขั้วโลก จึงน่าจะมีไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไป (https://on.doi.gov/1K4gY8U) ดังนั้นจึงอย่าไปเชื่อคำโพทะนาว่าน้ำจะท่วมโลกแต่อย่างใด

หลายคนเน้นใช้ความรู้สึกมาบอกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ รุนแรงขึ้น แต่ความจริงก็คือ พายุหมุนเขตร้อนที่เข้ามาในประเทศไทยมีปริมาณลดลงตลอดในช่วงปี 2494-2549 รวมทั้งอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วง พ.ศ.2539-2549 ก็ไม่แตกต่างกันเลย ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยกลับลดลงนับแต่ปี 2483 ที่สำรวจ ความรู้สึกที่ไม่อิงข้อมูล มักทำให้คิดตรงข้ามกับความจริง และมักจะรีบเชื่อเมื่อมีผู้ทำให้ตกใจ (http://bit.ly/2qULCzn)

ส่วนที่เห็นน้ำท่วมโบสถ์วัดขุนสมุทรนั้น คงเป็นเพราะการทรุดตัวของดินจากผลของการสูบน้ำบาดาลเกินขนาด การทำลายป่าชายเลน การพังทลายของตลิ่งและอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาโดยตลอด ไม่ใช่เพราะภาวะโลกร้อนแต่อย่างใด เป็นธรรมชาติรอบอ่าวไทย ที่บางส่วนของพื้นที่อาจถูกกัดเซาะ บางบริเวณก็กำลังเกิดที่งอก ในสมัยโบราณ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาแต่เดิมเป็นทะเลทั้งหมด ทุกวันนี้ใต้ท้องนาในจังหวัดอยุธยา ยังขุดทรายมาขายกันได้เป็นล่ำเป็นสัน วัดเจดีย์หอยที่อำเภอลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ก็ยังพบเปลือกหอยทะเลมากมาย แค่น้ำทะเลกัดเซาะวัดขุนสมุทรและบริเวณใกล้เคียงเพียงเท่านี้ ยังเทียบอะไรไม่ได้กับการเกิดภาคกลางของประเทศไทยแต่อย่างใด ในประเทศไทยของเรา การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศยังเป็นเพราะปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา และเอ็นโซ ตามกระแสน้ำอุ่น แต่กลับมีการกล่าวอ้างว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเป็นสำคัญ (http://bit.ly/2rI3s7T)

ผมเพียงมุ่งตรวจสอบการโฆษณาชวนเชื่อที่ขาดจรรยาบรรณ ทำให้สังคมขาดความรอบรู้และเกิดการคิดอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เราควรมีเวทีการถกเถียงเพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้าง เป็นการส่งเสริมสังคมอุดมปัญญา มีบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่สังคมที่สักแต่เชื่อกันด้วยศรัทธาอย่างมืดบอด อันถือเป็นอันตรายต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต และปัญญา-ความรู้ของประชาชนในระยะยาว

การใช้อวิชชาหลอกล่อให้คนเชื่อ เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประหนึ่งเห็นชาวบ้านเป็นวัวควายที่อธิบายกันดีๆ ไม่ได้ ต้องหลอกล่อด้วยความกลัวถึงผลร้ายของภาวะโลกร้อนจนเกินจริง และด้วยการใช้ความน่ารัก-น่าสงสารของคน สัตว์และสิ่งของเพื่อให้คล้อยตาม โปรดสังเกตว่า “หมัดเด็ด” ในการปิดปากผู้สงสัยเรื่องโลกร้อนก็คือการป้ายสีพวกเขาว่าเป็นผู้ไม่หวังดีต่อโลก เราจึงควรมีการวินิจฉัยด้วยตนเองให้ชัดเจน ตามหลักธรรมกาลมสูตรก่อนที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ

การบิดเบือนความจริงเคยส่งผลเสียหายมากมายมาแล้ว เช่น การที่ NGO บางแห่งเคยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จอย่างร้ายแรงว่า ประเทศไทยมีโสเภณี 2 ล้านคน ทำให้พจนานุกรมลองแมน เคยให้คำจำกัดความของกรุงเทพมหานครว่าเป็นนครแห่งโสเภณีในปี 2536 จะสังเกตได้ว่านักเคลื่อนไหวทางสังคม มักพยายามโฆษณาว่าปัญหาที่ตนเกี่ยวข้องอยู่มีขนาดใหญ่ ด้วยหวังให้สังคมให้ความสนใจ แต่น่าเสียดายที่ทุกคนก็ใช้วิธีเดียวกันจนเฝือ สังคมเลย “มึน” และกลับคิดว่าปัญหาทั้งหลายนั้นสุดแก้ไข กลายเป็นปัญหาโลกแตกไป

การเคลื่อนไหวเรื่องนี้ยังอาจถือเป็นการเบี่ยงประเด็นสาระสำคัญของปัญหาในโลกนี้ อันได้แก่ โรคภัยไข้เจ็บที่เผชิญอยู่ทุกวัน การกดขี่เอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยโอกาส สงครามและการก่อการร้าย อำนาจเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพประชาธิปไตย ตลอดจนการปล้นสดมภ์ของประเทศมหาอำนาจต่อประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น บางทีถ้าเราเอาเงินรณรงค์เรื่องโลกร้อนไปช่วยคนทุกข์ยากทางอื่น ยังอาจได้ประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านี้

โปรดดู Clip ชี้แจงนี้เพื่อความกระจ่างว่าน้ำทะเลจะไม่ท่วมกรุงเทพมหานครแน่นอน: http://goo.gl/7qQuNi