เมื่อเยอรมันประกาศกร้าว เราหวังพึ่งมะกันและอังกฤษไม่ได้แล้ว

เมื่อเยอรมันประกาศกร้าว เราหวังพึ่งมะกันและอังกฤษไม่ได้แล้ว

รอยร้าวของโลกตะวันตกปรากฏออกมาชัดเจน เมื่อนายกรัฐมนตรีเองเกล่า มาเคิล ประกาศหลังประชุมสุดยอด 7-G

 และ NATO ที่กรุงบรัสเซลส์ช่วงสุดสัปดาห์ว่า

ยุโรปไม่อาจจะพึ่งพาพันธมิตรใหญ่อย่างสหรัฐและอังกฤษได้อีกต่อไปแล้ว... ต่อไปนี้เราต้องฟันฝ่าชะตากรรมด้วยตนเอง”

ประโยคนี้จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์โลกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะสร้างความตะลึงพรึงเพริดทางการเมือง ได้เท่ากับสิ่งที่ผู้นำเยอรมันได้สรุปออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครครั้งนี้

คุณป้ากระดูกเหล็กแห่งเยอรมันอาจไม่ได้เอ่ยชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ตรง ๆ แต่ไม่ต้องอ่านระหว่างบรรทัดให้ลึกซึ้งอะไรมาก ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร

ผู้นำเยอรมันสะท้อนความรู้สึกของผู้นำยุโรปทั้งหลายหลังการพบปะกับทรัมป์ และเป็นความรู้สึกที่กำลังทำลายความเชื่อมั่น ในบรรดาสมาชิกป้อมปราการยักษ์ของโลกตะวันตกอย่าง G-7 และ NATO อย่างร้ายแรง

ปัจจัยที่ทำให้เธอประกาศเช่นนั้นคือทรัมป์และ Brexit

ชัดเจนว่าเองเกลา มาเกิลกำลังบอกกับคนทั้งโลกว่า สหรัฐฯภายใต้ทรัมป์หมดความเป็นผู้นำ ที่จะเป็นแกนของการปกป้องระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่สนับสนุนกันและกันเพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของระบอบอื่น ๆ รวมถึงคอมมิวนิสต์และฟาสซิสม์แล้ว

อีกทั้งเมื่ออังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป นั่นยอมหมายความว่าความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของยุโรปก็มีอันต้องสลายหายไป

เมื่อสหรัฐและอังกฤษกลายเป็น “ตัวแปรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้” นั่นย่อมหมายถึงการแตกสลายของพลังตะวันตก ที่เคยเป็นกำแพงยักษ์ของค่านิยมแห่งตะวันตก ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสาหลักแห่งการปกปักรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของโลกตะวันตก

ไทยเราถูกลากเข้าไปในแนวร่วมตะวันตกที่มีสหรัฐฯ และอังกฤษเป็นแกนมาตลอดเช่นกัน

เมื่อผู้นำเยอรมันบอกกับเพื่อนในยุโรปว่าต่อไปนี้ “ตัวใครตัวมัน” เพราะเพื่อนรักสหรัฐและอังกฤษได้เลือกเส้นทางที่ไม่จำเป็นต้องเป็นทิศทางเดียวกับยุโรปอื่น ๆ อีกต่อไป

แถลงการณ์ร่วมของ G-7 ที่ออกมาครั้งนี้ก็ฉีกแนวดั้งเดิมออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะภายใต้หัวข้อเรื่องโลกร้อนหรือ Climate Change นั้น ถ้อยประโยคบอกว่าสหรัฐไม่ได้มีจุดยืนร่วมกับอีก 6 ประเทศสมาชิกอีกต่อไปเพราะกำลัง”ทบทวนนโยบายด้านนี้อยู่”

สะท้อนว่า “ระเบียบโลก” กำลังเข้าสู่การถูกเขย่าอย่างรุนแรงหนักหน่วง กลไกที่โลกตะวันตกสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อเป็น “เสาหลัก” แห่งการพัฒนาโลกไปตามค่านิยมโลกเสรีที่ยืนคนละข้างกับอุดมการณ์คอมมิวนิสต์นั้นกำลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

และไม่มีใครทำนายถูกว่า “ระเบียบโลกใหม่” หรือ New World Order จะมีหน้าตาอย่างไร และตัวละครหลักจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร

เพราะเมื่อตัวเอกเช่นสหรัฐและอังกฤษ หันไปเล่นบทที่เขียนขึ้นมาใหม่ที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม เยอรมันที่มีความแข็งแกร่งในตัวเอง และเล่นบทพระเอกอีกจอหนึ่งมาตลอด ก็กำลังจะป่าวประกาศทิศทางใหม่ของตัวเองเช่นกัน

รัสเซีย จีนและญี่ปุ่นจะเล่นบทอะไรต่อไปเป็นหัวข้อใหญ่ที่จะมีผลตามมาอย่างน่าสยองขวัญเช่นกัน

ไทยเราจะไม่รีบประชุมด่วนกับเพื่อนพ้องในอาเซียน เพื่อประเมินบทบาทของตัวเอง ในภาวะความผันผวนปรวนแปรระดับโลกหรือ?