คิดก่อน 'ซื้อ'

คิดก่อน 'ซื้อ'

ควรศึกษาข้อมูลให้รู้แจ้งเสียก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

ผลประกอบการไตรมาสที่หนึ่งของบริษัทจดทะเบียนประกาศออกมาครบหมดแล้ว ปรากฏว่าบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทงบออกมาน่าผิดหวัง ทำเอาหุ้นตกระเนระนาด ไม่เว้นแม้เครือโรงพยาบาลชื่อดังซึ่งเคยถูกยกเป็น 'Super Stock' งวดนี้กลับโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานจนกำไรหายฮวบไปไม่ใช่น้อย

อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่ผลการดำเนินงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ จนนักลงทุนจำนวนมากแห่กันเข้าไปซื้อเพื่อ 'รับข่าวดี' แต่ทั้งนี้ โดยวิสัยของ 'วีไอ' เราควรศึกษาข้อมูลให้รู้แจ้งเสียก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นคำถามสองข้อต่อไปนี้

หนึ่ง) กำไรที่เพิ่มขึ้นนั้น เพิ่มขึ้นจากอะไร และ

สอง) ปัจจัยที่มาทำให้กำไรนั้นเพิ่ม จะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่

หากเป็นปัจจัยที่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำ ก็อาจหาโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นตัวนั้น แต่ถ้าเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หรือเกิดมาหลายครั้งแล้วและอาจไม่เกิดขึ้นอีก เช่นนี้ก็ไม่ควรเข้าลงทุน ถ้ายังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา

เช่น หุ้นห้างสรรพสินค้าตัวหนึ่ง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่หุ้นที่ 'sexy' ในสายตาของใครหลายคน เพราะราคาไม่ค่อยวิ่งและปันผลน้อย แต่ไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมากำไรเพิ่มขึ้นราว 16% แม้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยสำหรับบริษัทจดทะเบียนทั่วไปเมื่อ 10 ปีก่อน ทว่าในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ กลับ “โดดเด่น” อย่างยิ่ง

ด้วยความสนใจ ผมจึงตรวจสอบข้อมูลโดยอ่านคำอธิบายผลประกอบการเพื่อหาสาเหตุของกำไรที่เพิ่มขึ้น และพบว่า 'กำไรสุทธิ' ของบริษัทที่เพิ่มเยอะ มาจาก "ต้นทุนค่าไฟ" ที่ลดลงอย่างมาก ทั้งที่ 'รายได้' ของบริษัทเพิ่มขึ้นในระดับ 'เลขตัวเดียว' (single-digit) เท่านั้น

จากนั้น ผมจึงค้นคว้าต่อด้วยการเปิดฟัง Opp Day ของบริษัท และทราบว่า ค่าไฟฟ้าที่ลดลงนั้น ปัจจัยหลักมาจาก 'ค่า FT' ที่ต่ำลง รวมทั้งการบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าของบริษัทเอง

เมื่อทราบเช่นนี้ ผมจึงส่งคำถามไปทางอินเตอร์เน็ตว่า การลดค่าไฟของบริษัทถือว่าทำเต็ม capacity แล้วหรือยัง และในอนาคตจะยังลดได้ในอัตราเช่นนี้อีกหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากการประหยัดค่าไฟมาจากการลดลงของค่า FT จึงต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีขีดจำกัด แต่สำหรับการบริหารจัดการการประหยัดไฟ ทางบริษัทก็จะทำต่อเนื่องไป

เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่า กำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นนั้น มาจาก 'ปัจจัยชั่วคราว' โดยผมคิดคร่าวๆ ว่าเมื่อตัดเรื่องค่าไฟออกไป บริษัทจะยังมีกำไรราวๆ สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้จะไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรนัก และหากกำไรจะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นในไตรมาสต่อๆ ไป ก็คงต้องมีสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การลดลงของค่าไฟเหมือนครั้งนี้ แค่นี้ผมก็ตัดสินใจได้แล้วว่าควรลงทุนเพิ่มหรือไม่ มากหรือน้อย

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการลงทุน โดยไม่เกี่ยวข้องกับตัวหุ้น ขอให้ท่านที่สนใจประยุกต์ไปใช้กับหุ้นที่หมายตาได้ตามสะดวก อย่าลืมว่านักลงทุนที่ดีต้อง 'คิดก่อนซื้อ' ทุกครั้งนะครับ