1974 นิกสัน 2017 ทรัมป์?

1974 นิกสัน 2017 ทรัมป์?

เมื่อปี 1974 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ต้องประกาศลาออก เพราะมีหลักฐานจากเทปยืนยัน ว่าเขาได้สั่งการให้ CIA

 ไปบอกกับ FBI ให้ยุติการสอบสวนเรื่องอื้อฉาว Watergate ที่เขามีส่วนพัวพันตั้งแต่ต้น... และปฏิเสธตลอดมาจนต้องจำนนด้วยหลักฐาน

วันนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังเจอกับข้อหาเดียวกัน นั่นคือนิวยอร์กไทมส์ได้อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับอดีตผู้อำนวยการ FBI เจมส์ โคมีว่ามี “บันทึกความจำ” (memo) ที่โคมีเขียนเล่ารายละเอียดว่าทรัมป์ได้สนทนาอะไรกับเขาบ้างทั้งทางโทรศัพท์และในการพบปะส่วนตัว

หนึ่งในบันทึกนั้น โคมีบอกว่าทรัมป์ได้พูดถึงการสอบสวนของเอฟบีไอต่อพล..ไมเคิล ฟลิน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงของทำเนียบขาวและเอ่ยขึ้นว่า

I hope you can let this one go…”

ความหมายชัดเจนว่าทรัมป์ต้องการให้ผู้อำนวยการเอฟบีไอระงับการสอบสวนไมเคิล ฟลินซึ่งเป็นเป้าของข้อกล่าวหา ว่ามีความโยงใยกับรัสเซียอย่างลึกซึ้ง อันมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ

แน่นอนว่า ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่จริง ทรัมป์ไม่เคยสั่งให้ใครหยุดยั้งการสอบสวนเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น

สมัยอดีตประธานาธิบดีนิกสัน เขาก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาตั้งแต่ต้น มายอมรับความจริงก็เมื่อที่เปิดเทปคำสนทนาของเขากับใครต่อใครในเรื่องนี้ ชี้ชัดว่านิกสันเป็นคนบงการเรื่องนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้

หลักฐานที่ปฏิเสธได้ยากเรียกว่า smoking gun

ความผิดในกรณีนี้คือ obstruction of justice หรือ “การขัดขวางกระบวนการยุติธรรม” ซึ่งตามกฎหมายของสหรัฐ ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก ใครพยายามกระทำเช่นนั้นต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง ยิ่งถ้าเป็นประธานาธิบดี ก็ยิ่งต้องแสดงความรับผิดชอบ

หากไม่ลาออกเหมือนนิกสันก็จะต้องถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนที่เรียกว่า impeachment

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก็มีการเปิดเผยโดยสื่อหลักอย่างวอชิงตันโพสต์ว่าทรัมป์ได้เอา “ข่าวกรองลับสุดยอด” เกี่ยวกับแผนก่อการร้ายของ IS ที่ได้จาก “หุ้นส่วนเครือข่ายข่าวกรองในตะวันออกกลาง” (ทราบต่อมาว่าคืออิสราเอล) ไปเปิดเผยให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติในการพบปะที่ทำเนียบขาว

ทรัมป์เขียนทวีตตอบโต้ทันควันว่าในฐานะประธานาธิบดีเขา “มีสิทธิเต็มที่” ที่จะแบ่งปัน “ข้อเท็จจริง” กับรัสเซียในหัวข้อว่าด้วยความมั่นคงและการต่อต้านการก่อการร้าย

แต่ไม่ยอมรับว่าได้เอา “ข่าวกรองลับสุดยอด” ไปเปิดเผย

ทั้ง ๆ ที่กลไกข่าวกรองและความมั่นคงของสหรัฐถือว่ารัสเซียเป็นศัตรูในหลาย ๆ มิติ และมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันอย่างมีนัยสำคัญ

ในกรณีวอเตอร์เกต แหล่งข่าวสำคัญที่เปิดเผยข้อมูลวงในจนทำให้นิกสันอยู่ไม่ได้มีรหัสว่า Deep Throat ซึ่งเป็นชื่อหนังที่กำลังดังขณะนั้น

ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้วจึงมีการเปิดเผย โดยนักข่าววอชิงตันโพสต์สองคนที่เจาะข่าวนี้ จนกลายเป็นตำนานว่าที่แท้เขาคือ Mark Felt ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการของเอฟบีไอนั่นเอง

ครั้งนี้ ข่าวที่รั่วออกจากเอฟบีไอหลายเรื่องที่มีผลกระทบต่อทรัมป์อย่างรุนแรงก็น่าจะเป็น “คนวงใน” ที่ทนเห็นความเละเทะของทรัมป์ ที่พยายามจะใช้อำนาจของประธานาธิบดี บงการให้หน่วยงานของรัฐทำหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างกลัวมาก

ที่สร้างความเกรียวกราวไม่น้อยไปกว่าประโยคที่ทรัมป์บอกให้โคมีหยุดการสอบสวนไมเคิล ฟลินก็คืออีกประโยคในบันทึกของอดีต ผอ.เอฟบีไอ

นั่นคือทรัมป์บอกให้ผู้อำนวยการเอฟบีไอหาทางจับนักข่าวที่เอา “ข่าวรั่ว” จากรัฐบาลไปตีพิมพ์ติดคุกให้หัวโต!

เป็นอีกจังหวะหนึ่งของการเมืองสหรัฐ ที่สื่ออาชีพกำลังยืนหยัดสู้กับการใช้อำนาจอย่างเกินขอบเขต ของผู้นำประเทศอย่างสุดฤทธิ์ เพราะเดิมพันจริงคืออนาคตการเมืองของประเทศ ที่อ้างว่าเป็นมหาอำนาจที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดของโลก!