ได้เวลาทบทวน บทบาทครม.ส่วนหน้า

ได้เวลาทบทวน  บทบาทครม.ส่วนหน้า

การก่อเหตุระเบิดห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีปัตตานี ไม่ใช่เพียงการก่อเหตุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เหมือนอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ที่ส่วนใหญ่มีเป้าหมายทำลายส่วนราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ และไทยพุทธ เป็นการก่อเหตุที่มีผู้ถูกทำร้ายเพียงจำนวนไม่กี่คน ต่างไปจากครั้งนี้ที่ใช่ระเบิดที่มีน้ำหนักถึงกว่า 100 กิโลกรัม มีความพยายามจงใจนำรถ “คาร์บอมบ์” ไปจอดในจุดที่มีผู้คนพลุกพล่านบริเวณด้านหน้าห้าง ที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าปริมาณระเบิดมีกำลังทำลายล้างสูง และรุนแรงพอที่จะคร่าชีวิตผู้คนได้นับร้อยคนหากอยู่ในรัศมีทำลาย

เพียงแต่ในความเลวร้ายนี้ยังมีความโชคดีอยู่บางประการ อย่างเช่นความไม่แนบเนียนของการก่อเหตุ ที่มีการนำประทัดยักษ์มาจุดเพื่อหวังลวงเจ้าหน้าที่ แต่กลับกลายเป็นสัญญาณเตือนให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยไหวตัว ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างที่ต้องนับว่ามีไหวพริบปฏิภาณดี รวมทั้งมีสติ จนสามารถช่วยกันประชาชนที่มาซื้อสินค้าออกจากจุดเกิดเหตุระเบิดซ้ำสองได้ เพียงชั่วเสี้ยวนาที ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียมหาศาล เพราะในจำนวนผู้บาดเจ็บนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วยหลายคน

ที่ผ่านมามี “ข้ออ้าง” จากหน่วยงานความมั่นคง ว่าที่ยังเกิดเหตุร้ายบ่อยครั้ง เพราะคนร้ายมักจะเลือกเป้าหมายที่อ่อนแอ เลือกโจมีตีจุดที่ไม่ใช่พื้นที่ยุทธศาสตร์ จึงมีกำลังเจ้าหน้าที่ไม่มาก เพื่อเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คงไม่มีสิทธิอ้างแบบนั้น เพราะการก่อเหตุเกิดขึ้นในห้างใหญ่ใจกลางเมือง เกิดขึ้นในวันที่ผู้ปกครองพาลูกหลานไปซื้อชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียนเพื่อเตรียมพร้อมรับเปิดเทอม ที่ผู้ก่อเหตุย่อมเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้น หากการลงมือประสบความสำเร็จ

ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้จึงต้องถือเป็นความ “บกพร่อง” ของฝ่ายความมั่นคงโดยตรง เป็นความผิดพลาดมากกว่าครั้งไหนๆ ที่แน่นอนว่าจะต้องมีการปรับแผน ปรับกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยกันครั้งใหญ่ รวมไปถึงจะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ที่อาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามีความผิดพลาดอย่างไร เพราะหากประชาชน “ไม่มั่นใจ” ในประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ การดำรงชีวิตจากนี้ไป อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก และยิ่งภาครัฐไม่มีความชัดเจน การก่อเหตุก็อาจจะเกิดซ้ำได้อีก  

แน่นอนว่าการก่อเหตุครั้งนี้กลุ่มคนร้ายต้องมองเห็น “ช่องโหว่” ในการรักษาความปลอดภัย จึงได้กล้าก่อเหตุอย่างอุกอาจ หากภาครัฐไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เด็กขาด ก็ดูเหมือนว่าความมั่นใจในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนก็จะลดลงไปด้วย มีการตั้งข้อสังเกตว่าการก่อคดีในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มักไม่ค่อยได้ตัวคนร้ายมาดำเนินคดี เคยมีการระบุว่าเพราะเป็นเรื่องที่ “อ่อนไหว” และอาจกลายเป็นการยั่วยุ จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง ซึ่งน่ากังวลว่าจะยิ่งทำให้ดูเหมือนว่ายิ่ง“อ่อนแอ”หรือไม่

ยิ่งตอนนี้รัฐบาลมีการตั้ง พล.อ.อุดมเดช รัตนเสถียร นำทีมครม.ส่วนหน้า แก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกับผุดสารพัดโครงการ สำทับด้วยคำยืนยันของผู้หลักผู้ใหญ่ว่าจะแก้ปัญหาภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน แต่นับวันความรุนแรงก็ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง การเจรจาสันติภาพก็ยังไม่บรรลุผล วันนี้รัฐบาลคงต้องมานั่งคิดทบทวนกันว่าตลอดระยะเวลา 7 เดือนกับอีก 2-3 วันในการทำงานของครม.ส่วนหน้า คุ้มค่างบประมาณหรือไม่ หรือจะต้องปรับแผนกันอย่างไร ไม่เช่นนั้นเกรงว่านอกจากจะไม่แก้ปัญหา จะกลับยิ่งเป็นการ “ล่อเป้า”