ห่างสมาร์ทโฟนสักวันละหนึ่งชั่วโมง

ห่างสมาร์ทโฟนสักวันละหนึ่งชั่วโมง

วันนี้เราบ่นกันว่าไปไหนมาไหนก็เจอแต่สังคมก้มหน้า คือใครๆ ต่างพากันใช้สมาร์ทโฟนทุกที่ทุกเวลา

 ซึ่งงานวิจัยหลายเรื่องกล่าวตรงกันว่า การหมกมุ่นกันสมาร์ทโฟนมากเกินควรนั้นนำเราไปสู่สารพัดปัญหา ตั้งแต่เรื่องสุขภาพกาย ไปจนกระทั่งสุขภาพจิต และความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ยามใดที่ท่านพูดคุยกับคนใกล้ชิดไปพร้อม ๆกับการตอบไลน์ ยามนั้นท่านควรวางมือจากสมาร์ทโฟนสักสี่ห้าวินาที แล้วนึกดูว่าคนที่อยู่กับท่านในขณะนั้นสำคัญกับท่านมากแค่ไหน ท่านอาจจะอยากหาทางห่างจากสมาร์ทโฟนขึ้นมาบ้าง 

แต่ถ้าคิดไปคิดมาแล้วได้คำตอบว่าคนข้างหน้าฉันไม่สำคัญเท่ากับคนอื่นที่ฉันกำลังไลน์ด้วย แต่พอวันหน้าเจอะเจอกับคนที่ท่านเคยเห็นว่าสำคัญกว่าในไลน์ในวันนั้น ท่านก็เห็นคนอื่นในไลน์สำคัญกว่าคนนี้เสียอีกแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับการหาหนทางห่างไกลสมาร์ทโฟน เพราะสมองท่านถูกโปรแกรมใหม่ให้สร้างความสุขกับการมีชีวิตทุกวินาทีอยู่กับสมาร์ทโฟนไปแล้ว จะห่างก็ต้องทนทุกข์ทรมาน ยอมมีเพื่อนสนิทเป็นสมาร์ทโฟนไปอีกนานเท่านานไปเถอะ วันหน้า สมาร์ทโฟนก็จะพูดคุยได้เหมือนคนจริง ๆแล้ว เพียงแต่คนที่ท่านเคยเห็นว่าสำคัญจะค่อย ๆหายไปเรื่อย ๆจากโลกของท่าน ถ้าไม่ทุกข์ร้อนว่าอยู่โดยไม่มีใครสำคัญกับฉัน ก็ปล่อยเลยตามเลยไปเถอะ

ถ้ายังเห็นว่าเรามีความสุขที่ได้พูดได้คุยกันจริงๆกับใครสักคน โดยไม่ต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟน แต่ยังรักพี่เสียดายน้องคือคนนั้นก็สำคัญนะ แต่ขาดการสื่อสารกับผู้คนอื่นก็สำคัญเหมือนกัน เกรงใจคนสำคัญที่เจอหน้าตากัน แต่ทุกข์ใจที่จะขาดการติดต่อกับโลกไซเบอร์ ถ้าเป็นเช่นนี้พอหาทางแก้ได้ เริ่มจากให้คิดใหม่ว่าห่างจากสมาร์ทโฟนชั่วครู่ชั่วยาม ไม่มีอะไรน่ากลัว เราห่างสมาร์ทโฟนไม่ได้เพราะเราข่มขู่ตัวเราเองว่าห่างเมื่อไร ขาดการติดต่อเมื่อนั้น เราขู่ตัวเองว่าถ้าขาดการติดต่อ แล้วเราจะพลาดในเรื่องสำคัญ ที่ช้าไปอาจแก้ไขไม่ทัน 

ลองคิดทบทวนอย่างจริงจังดูว่าเรื่องสำคัญที่มากับไลน์ กับอีเมลล์ในชีวิตที่ผ่านมามีสักกี่เรื่องที่ช้าไปสักสิบนาทียี่สิบนาที แล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนแก้ไขอะไรไม่ได้ ชีวิตจริงอาจมีเรื่องโชคร้ายแบบนี้บ้าง แต่คงไม่มากนัก นาน ๆสักครั้ง ดังนั้นจึงควรเลิกขู่ตัวเองเรื่องขาดการสื่อสาร เพราะช่วงที่ห่างจากสมารท์โฟน มีอะไรมาก็ยังค้างให้เห็นได้บนหน้าจอ และส่วนใหญ่ที่รู้ช้าตอบช้าสักห้านาที สิบนาทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลองหาตัวอย่างเรื่องไม่สำคัญที่เข้ามาขัดจังหวะที่เรากำลังอยู่กับคนสำคัญของเราสักหกเจ็ดตัวอย่าง อย่าน้อยกว่านั้น เราจะเปลี่ยนความคิดความเชื่อเรื่องผลร้ายจากการห่างสมาร์ทโฟนได้

เปลี่ยนมุมมองเรื่องการขาดการสื่อสารได้แล้ว ลองตั้งกติกาเล็ก ๆกับตัวเองว่า เวลาไหนเราจะห่างสมาร์ทโฟนได้สักพักในแต่ละวัน จะเป็นตอนออกกำลังกายสักครึ่งชั่วโมง ตอนกินข้าวกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงสักชั่วโมง ซึ่งอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ทำไม่ได้ ขอแค่พยายามให้ดีที่สุด ถ้าวันไหนกังวลอยู่กับการงานสำคัญ จะงดเว้นกติกานี้บ้างก็ได้ ถ้าห่างสมาร์ทโฟนให้ได้สักหกเจ็ดครั้ง ครั้งละสักครึ่งชั่วโมง โดยไม่เจอะเจอปัญหาใด ๆในช่วงเวลาที่ขาดการติดต่อนั้น จะพบด้วยตนเองว่ายังมีสิ่งดี ๆหลายอย่างในช่วงเวลานั้น 

บางครั้งเราเลือกสมาร์ทโฟนเป็นเพื่อนในยามที่อยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียว ข้างกายเลยเป็นสมาร์ทโฟน ขอให้ลองคิดทางเลือกอื่น ๆมาแทนบ้าง หนังสือดี ๆสักเล่มอาจช่วยได้มาก อยู่คนเดียวกับอย่างอื่นนอกเหนือจากสมาร์ทโฟนบ้าง เราจะได้เห็นคุณค่ากับสรรพสิ่งรอบตัวของเรามากกว่าเดิมอีกเยอะทีเดียว

คนผลิตสมาร์ทโฟน คนให้บริการโมบายอินเทอร์เน็ต มีรายได้มากขึ้นถ้าลูกค้าพากับเสพติดสมาร์ทโฟน จึงเป็นธรรมดาของคนค้าขายที่ต้้องหาสารพัดวิธี มายึดเหนี่ยวให้เราอยู่กับสมาร์ทโฟนให้มากที่สุด จะได้ใช้มากๆ เขาจะได้มีกำไรมากขึ้น จากรายจ่ายของเรา ด้วยกลไกล่อใจสารพัด การเสพติดสมาร์ทโฟนจึงมีโอกาสเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย แต่แก้ไม่ยากขอแค่ยังมีสติระลึกได้ว่ายังมีสักคนสองคน ที่เจอะเจอพูดคุยกันแล้วสำคัญกว่าการเสพติดสมาร์ทโฟน